Showing posts with label mocyc market. Show all posts
Showing posts with label mocyc market. Show all posts

Friday, August 20, 2010

ดึง4ยักษ์มอเตอร์ไซค์"จีน-ยุโรป" เทงบตั้งฐานผลิตอมตะ200ไร่จีบซัพพลายเออร์เพิ่ม

"อมตะฯ" เซ็นสัญญาดึงผู้ผลิตรถจักรยานยนต์จีน-ยุโรป 4 ค่ายปักหลัก ตั้งฐานผลิตในนิคมอมตะฯกว่า 200 ไร่ เล็งดึงซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนจักรยานยนต์เข้าลงทุนเพิ่ม ตั้งเป้ารวมกลุ่มคลัสเตอร์ในระยะยาว พร้อมดันไทยขึ้นสู่ศูนย์กลางการผลิตในตลาดโลก

นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้มีการเซ็นสัญญากับบริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ชั้นนำ 4 ราย โดยมาจากประเทศยุโรป 2 ราย และจีน 2 ราย เพื่อเข้ามาใช้พื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นการตั้งโรงงานประกอบรถจักรยานยนต์สำเร็จรูปขนาดใหญ่ (super bike) พร้อมจำหน่ายในประเทศและส่งออก โดยนอกจากนี้บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเจรจากับผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ค่ายยุโรปอีก 1 ราย คาดว่าจะสรุปผลได้ในเร็ว ๆ นี้

"เห็นได้ว่าสัญญาณของเศรษฐกิจไทยเริ่มเป็นบวกมากขึ้น จากการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของนักลงทุนในขณะนี้ แม้ว่าจะมีปัญหาการเมืองอยู่บ้างแต่นักลงทุนยังมั่นใจด้วยศักยภาพการลงทุนในไทยที่จัดว่าเป็นฐานผลิตที่มีความแข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน และการมีแรงงานที่มีศักยภาพ รวมทั้งการได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาบุคลากรขั้นสูง เพื่อเร่งป้อนแรงงานระดับฝีมือเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น อาทิ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม"

หลังจากที่บริษัทยักษ์ใหญ่ตัดสินใจ เข้ามาลงทุนในพื้นที่นิคมอมตะฯ บริษัทได้เตรียมแผนการดำเนินงานในการเจรจา ดึงบริษัทซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนจักรยานยนต์ให้เข้ามาลงทุนในพื้นที่นิคมอมตะฯเพิ่มเติม โดยมีเป้าหมายป้อนชิ้นส่วนและอะไหล่ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มอีกในอนาคต และ จะเร่งผลักดันให้พื้นที่การลงทุนของ อมตะฯเข้าสู่การลงทุนที่สมบูรณ์แบบมีความเชื่อมโยงเป็นกลุ่มคลัสเตอร์มากขึ้น ซึ่งจะทำให้อมตะก้าวขึ้นสู่ศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลก

อย่างไรก็ดี ขณะนี้พื้นที่นิคมอมตะฯ เป็นพื้นที่มีศักยภาพในการเป็นฐานผลิตอะไหล่รถจักรยานยนต์ที่ได้มาตรฐานและตรงความต้องการของลูกค้า พร้อมที่จะป้อนสู่โรงงานในนิคมได้อย่างเพียงพอ ทั้งการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่รุ่นพิเศษ และรถจักรยานยนต์ขนาดทั่วไป

ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าสถานการณ์ที่ดีขึ้นและการกลับเข้ามาของนักลงทุน จะส่งผลให้อมตะฯสามารถทำยอดขายที่ดิน ในปี 2553 เป็นไปตามเป้าหมาย 900 ไร่อย่างแน่นอน โดยปัจจุบันนักลงทุนที่เข้า มาลงทุนในนิคมส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุน ญี่ปุ่นกว่า 60% และ 30% เป็นนักลงทุนไทยและส่วนที่เหลือก็กระจายตัวกว่า 20 ประเทศ

เพิ่มเติม http://www.prachachat.net

ดึง4ยักษ์มอเตอร์ไซค์"จีน-ยุโรป" เทงบตั้งฐานผลิตอมตะ200ไร่จีบซัพพลายเออร์เพิ่ม

"อมตะฯ" เซ็นสัญญาดึงผู้ผลิตรถจักรยานยนต์จีน-ยุโรป 4 ค่ายปักหลัก ตั้งฐานผลิตในนิคมอมตะฯกว่า 200 ไร่ เล็งดึงซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนจักรยานยนต์เข้าลงทุนเพิ่ม ตั้งเป้ารวมกลุ่มคลัสเตอร์ในระยะยาว พร้อมดันไทยขึ้นสู่ศูนย์กลางการผลิตในตลาดโลก

นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้มีการเซ็นสัญญากับบริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ชั้นนำ 4 ราย โดยมาจากประเทศยุโรป 2 ราย และจีน 2 ราย เพื่อเข้ามาใช้พื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นการตั้งโรงงานประกอบรถจักรยานยนต์สำเร็จรูปขนาดใหญ่ (super bike) พร้อมจำหน่ายในประเทศและส่งออก โดยนอกจากนี้บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเจรจากับผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ค่ายยุโรปอีก 1 ราย คาดว่าจะสรุปผลได้ในเร็ว ๆ นี้

"เห็นได้ว่าสัญญาณของเศรษฐกิจไทยเริ่มเป็นบวกมากขึ้น จากการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของนักลงทุนในขณะนี้ แม้ว่าจะมีปัญหาการเมืองอยู่บ้างแต่นักลงทุนยังมั่นใจด้วยศักยภาพการลงทุนในไทยที่จัดว่าเป็นฐานผลิตที่มีความแข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน และการมีแรงงานที่มีศักยภาพ รวมทั้งการได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาบุคลากรขั้นสูง เพื่อเร่งป้อนแรงงานระดับฝีมือเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น อาทิ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม"

หลังจากที่บริษัทยักษ์ใหญ่ตัดสินใจ เข้ามาลงทุนในพื้นที่นิคมอมตะฯ บริษัทได้เตรียมแผนการดำเนินงานในการเจรจา ดึงบริษัทซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนจักรยานยนต์ให้เข้ามาลงทุนในพื้นที่นิคมอมตะฯเพิ่มเติม โดยมีเป้าหมายป้อนชิ้นส่วนและอะไหล่ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มอีกในอนาคต และ จะเร่งผลักดันให้พื้นที่การลงทุนของ อมตะฯเข้าสู่การลงทุนที่สมบูรณ์แบบมีความเชื่อมโยงเป็นกลุ่มคลัสเตอร์มากขึ้น ซึ่งจะทำให้อมตะก้าวขึ้นสู่ศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลก

อย่างไรก็ดี ขณะนี้พื้นที่นิคมอมตะฯ เป็นพื้นที่มีศักยภาพในการเป็นฐานผลิตอะไหล่รถจักรยานยนต์ที่ได้มาตรฐานและตรงความต้องการของลูกค้า พร้อมที่จะป้อนสู่โรงงานในนิคมได้อย่างเพียงพอ ทั้งการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่รุ่นพิเศษ และรถจักรยานยนต์ขนาดทั่วไป

ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าสถานการณ์ที่ดีขึ้นและการกลับเข้ามาของนักลงทุน จะส่งผลให้อมตะฯสามารถทำยอดขายที่ดิน ในปี 2553 เป็นไปตามเป้าหมาย 900 ไร่อย่างแน่นอน โดยปัจจุบันนักลงทุนที่เข้า มาลงทุนในนิคมส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุน ญี่ปุ่นกว่า 60% และ 30% เป็นนักลงทุนไทยและส่วนที่เหลือก็กระจายตัวกว่า 20 ประเทศ

เพิ่มเติม http://www.prachachat.net

Friday, July 16, 2010

ฟุตบอลโลก กับ สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง เส้นทางยามาฮ่า เบียดตลาดสองล้อ

การแข่งขันฟุตบอลโลก หรือ ฟีฟ่า เวิลด์คัพ 2010 สิ้นสุดการรอคอยไปแล้วเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง สิ่งที่ยังเหลือให้ลุ้นกันต่อไปก็คงจะเป็นผลการจับฉลากผู้ร่วมทายผล ซึ่งมีเงินรางวัลก้อนโต จากหลายสำนักด้วยกัน

ยามาฮ่าเป็นหนึ่งในองค์กรที่มีส่วนร่วมกับรางวัลชิ้นใหญ่ โดยร่วมกับพันธมิตรมอบรางวัลเงินสด 30 ล้านบาท และรางวัลรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ฟีโน่, มีโอ 125 และ สปาร์ค นาโน อีก 30 คัน

นอกจากนั้นแล้ว ยามาฮ่ายังถือว่าเป็นองค์กรที่มีบทบาทหลักกับการแข่งขันฟุตบอลโลกปีนี้อย่างมาก ทั้งการเป็นผู้สนับสนุนการถ่ายทอดสดครบทุกนัด การจัด "ยามาฮ่า ฟุตบอล ปาร์ค" ที่สนามศุภชลาศัย การจัด "ยามาฮ่า ฟุตบอล เฟสติวัล" 8 จังหวัด นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกหลายรายการ เช่น การดึงนักเตะทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด มาเป็นพรีเซ็นเตอร์งานโฆษณา มีโอ 125 รวมถึงกิจกรรมคัดเลือกลูกค้า ตัวแทนจำหน่าย สื่อมวลชน ไปชมการแข่งขันที่แอฟริกาใต้

จินตนา อุดมทรัพย์ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ บอกว่าผลการสำรวจที่ผ่านมาพบว่า คนไทยประมาณ 44 ล้านคน ดูการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก ที่มีการถ่ายรวม 64 แมทช์ มีโฆษณาวันละ 21 สปอต ดังนั้น การเป็นสปอนเซอร์ร่วมในการถ่ายทอดสดจะช่วยสร้างการรับรู้และสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ดีขึ้น

นั่นเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้ปีนี้ยามาฮ่า ควักเงินรวม 100 ล้านบาท สำหรับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลโลก
จินตนาบอกว่า ไม่เพียงแต่ฟุตบอลโลกเท่านั้น แต่ในช่วงที่ผ่านมายามาฮ่าหันมาให้ความสำคัญกับกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ตมากขึ้น โดยปีนี้ใช้งบประมาณรวม 150 ล้านบาท จากงบการตลาดรวม 1,000 ล้านบาท

ความเคลื่อนไหวของยามาฮ่าในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถือว่ามีความน่าสนใจอย่างยิ่งโดยเฉพาะการสามารถเพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ล่าสุด คือ 28% ซึ่งนอกจากการมีสินค้าที่ตรงกับความต้องการแล้ว อีกส่วนหนึ่งก็คือ การประสบความสำเร็จจากการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกิจกรรมด้านดนตรี หรือ มิวสิค มาร์เก็ตติ้ง ที่ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง

"แนวทางของเราก็คือ จะจัดอะไรก็ได้ที่เห็นว่ามีอิมแพคท์กับกลุ่มลูกค้า มิวสิค ยามาฮ่าก็ยังจัดอยู่ แต่การเข้าสู่สปอร์ต เพราะเราต้องการสร้างความแตกต่าง ฉีกรูปแบบการตลาดที่เริ่มมีคนหันมาทำเหมือนกันเยอะขึ้น"

จินตนา บอกว่า ทั้งนี้การให้ความสำคัญกับสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งเกิดจากการสำรวจความต้องการของลูกค้า และพบว่าฟุตบอลเป็นกีฬาที่ชื่นชอบมากที่สุด ดังนั้นที่ผ่านมาจึงได้เห็นยามาฮ่าเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เช่น การเป็นผู้สนับสนุนทีมเมืองทองหนองจอกมาแล้ว 3 ปี การสนับสนุนการถ่ายทอดพรีเมียร์ ลีก การจัดแข่งขันฟุตบอลกิจกรรมปลีกย่อยอย่างการชวนลูกค้าชมฟุตบอลตามร้านอาหาร

"กิจกรรมนี้เป็นกลุ่มย่อยๆ ไม่ต้องการคนมาก แค่ 200-300 คนต่อครั้ง ก็พอ แต่ให้ผลตอบรับที่ดี ทั้งนี้กิจกรรมด้านกีฬาของเราจะแตกต่างกันไปแล้วแต่รุ่นรถ และกลุ่มลูกค้า"

และในเร็วๆ นี้ ยามาฮ่า ก็เตรียมจัดการแข่งขันฟุตบอลเยาวชน ยามาฮ่า อาเซียน คัพ ยู 13 อีกด้วย

ผู้บริหารยามาฮ่า บอกว่าผลที่ได้จากกิจกรรมด้านกีฬาเห็นผลชัดเจน เช่น ล่าสุด มีโอ 125 สามารถทำสถิติการขายได้สูงสุดช่วงเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา

พร้อมกันนี้ ยามาฮ่า ก็รุกตลาดมีโอ 125 อีกครั้ง ด้วยกีฬาแข่งรถ นั่นคือการส่งรุ่น โมโตจีพี รอสซี่ อิดิชั่น ที่ผลิตออกมา 3,000 คัน เจาะตลาดผู้ที่ชื่นชอบการแข่งรถ และ วาเลนติโน่ รอสโซ่ นักแข่งโมโตจีพี ดีกรีแชมป์โลกหลายสมัย สังกัดทีมยามาฮ่า

ทั้งนี้ สำหรับกลยุทธ์สปอร์ตมาร์เก็ตติ้งของยามาฮ่านั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่การสนับสนุนด้านงบประมาณเท่านั้น แต่ที่ผ่านมามีหลายๆ กิจกรรมที่ลงลึกไปมากกว่านั้น เช่น โครงการ "ยามาฮ่า ฟุตบอล คลินิก" ที่เปิดคอร์สสอนให้เยาวชน และลูกค้า และบุคคลทั่วไป

จินตนา เคยบอกไว้ว่า การทำสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งเป็นแผนการระยะยาวที่เรากำหนดไว้ ซึ่งไลฟ์สไตล์ของเยาวชนคนรุ่นใหม่หันมาเล่นกีฬา ยามาฮ่าจะเดินนโยบายในด้านนี้ และการลงไปถึงระดับชุมชนเป็นการทำซีเอสอาร์อย่างหนึ่ง ที่ช่วยให้เด็กๆ ในท้องถิ่นได้มีโอกาสเล่นฟุตบอลในระดับที่พัฒนาขึ้น อนาคตเราวางเป้าหมายทำฟุตบอล คลินิก ทุกจังหวัด

แต่สิ่งหนึ่งผู้บริหารไม่ได้บอก ก็คือ การรับรู้ ความสนใจ และความภักดีต่อสินค้า ก็จะเกิดขึ้นได้จากกิจกรรมเหล่านี้เช่นกัน

เพิ่มเติม http://www.bangkokbiznews.com

ฟุตบอลโลก กับ สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง เส้นทางยามาฮ่า เบียดตลาดสองล้อ

การแข่งขันฟุตบอลโลก หรือ ฟีฟ่า เวิลด์คัพ 2010 สิ้นสุดการรอคอยไปแล้วเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง สิ่งที่ยังเหลือให้ลุ้นกันต่อไปก็คงจะเป็นผลการจับฉลากผู้ร่วมทายผล ซึ่งมีเงินรางวัลก้อนโต จากหลายสำนักด้วยกัน

ยามาฮ่าเป็นหนึ่งในองค์กรที่มีส่วนร่วมกับรางวัลชิ้นใหญ่ โดยร่วมกับพันธมิตรมอบรางวัลเงินสด 30 ล้านบาท และรางวัลรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ฟีโน่, มีโอ 125 และ สปาร์ค นาโน อีก 30 คัน

นอกจากนั้นแล้ว ยามาฮ่ายังถือว่าเป็นองค์กรที่มีบทบาทหลักกับการแข่งขันฟุตบอลโลกปีนี้อย่างมาก ทั้งการเป็นผู้สนับสนุนการถ่ายทอดสดครบทุกนัด การจัด "ยามาฮ่า ฟุตบอล ปาร์ค" ที่สนามศุภชลาศัย การจัด "ยามาฮ่า ฟุตบอล เฟสติวัล" 8 จังหวัด นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกหลายรายการ เช่น การดึงนักเตะทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด มาเป็นพรีเซ็นเตอร์งานโฆษณา มีโอ 125 รวมถึงกิจกรรมคัดเลือกลูกค้า ตัวแทนจำหน่าย สื่อมวลชน ไปชมการแข่งขันที่แอฟริกาใต้

จินตนา อุดมทรัพย์ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ บอกว่าผลการสำรวจที่ผ่านมาพบว่า คนไทยประมาณ 44 ล้านคน ดูการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก ที่มีการถ่ายรวม 64 แมทช์ มีโฆษณาวันละ 21 สปอต ดังนั้น การเป็นสปอนเซอร์ร่วมในการถ่ายทอดสดจะช่วยสร้างการรับรู้และสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ดีขึ้น

นั่นเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้ปีนี้ยามาฮ่า ควักเงินรวม 100 ล้านบาท สำหรับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลโลก
จินตนาบอกว่า ไม่เพียงแต่ฟุตบอลโลกเท่านั้น แต่ในช่วงที่ผ่านมายามาฮ่าหันมาให้ความสำคัญกับกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ตมากขึ้น โดยปีนี้ใช้งบประมาณรวม 150 ล้านบาท จากงบการตลาดรวม 1,000 ล้านบาท

ความเคลื่อนไหวของยามาฮ่าในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถือว่ามีความน่าสนใจอย่างยิ่งโดยเฉพาะการสามารถเพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ล่าสุด คือ 28% ซึ่งนอกจากการมีสินค้าที่ตรงกับความต้องการแล้ว อีกส่วนหนึ่งก็คือ การประสบความสำเร็จจากการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกิจกรรมด้านดนตรี หรือ มิวสิค มาร์เก็ตติ้ง ที่ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง

"แนวทางของเราก็คือ จะจัดอะไรก็ได้ที่เห็นว่ามีอิมแพคท์กับกลุ่มลูกค้า มิวสิค ยามาฮ่าก็ยังจัดอยู่ แต่การเข้าสู่สปอร์ต เพราะเราต้องการสร้างความแตกต่าง ฉีกรูปแบบการตลาดที่เริ่มมีคนหันมาทำเหมือนกันเยอะขึ้น"

จินตนา บอกว่า ทั้งนี้การให้ความสำคัญกับสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งเกิดจากการสำรวจความต้องการของลูกค้า และพบว่าฟุตบอลเป็นกีฬาที่ชื่นชอบมากที่สุด ดังนั้นที่ผ่านมาจึงได้เห็นยามาฮ่าเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เช่น การเป็นผู้สนับสนุนทีมเมืองทองหนองจอกมาแล้ว 3 ปี การสนับสนุนการถ่ายทอดพรีเมียร์ ลีก การจัดแข่งขันฟุตบอลกิจกรรมปลีกย่อยอย่างการชวนลูกค้าชมฟุตบอลตามร้านอาหาร

"กิจกรรมนี้เป็นกลุ่มย่อยๆ ไม่ต้องการคนมาก แค่ 200-300 คนต่อครั้ง ก็พอ แต่ให้ผลตอบรับที่ดี ทั้งนี้กิจกรรมด้านกีฬาของเราจะแตกต่างกันไปแล้วแต่รุ่นรถ และกลุ่มลูกค้า"

และในเร็วๆ นี้ ยามาฮ่า ก็เตรียมจัดการแข่งขันฟุตบอลเยาวชน ยามาฮ่า อาเซียน คัพ ยู 13 อีกด้วย

ผู้บริหารยามาฮ่า บอกว่าผลที่ได้จากกิจกรรมด้านกีฬาเห็นผลชัดเจน เช่น ล่าสุด มีโอ 125 สามารถทำสถิติการขายได้สูงสุดช่วงเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา

พร้อมกันนี้ ยามาฮ่า ก็รุกตลาดมีโอ 125 อีกครั้ง ด้วยกีฬาแข่งรถ นั่นคือการส่งรุ่น โมโตจีพี รอสซี่ อิดิชั่น ที่ผลิตออกมา 3,000 คัน เจาะตลาดผู้ที่ชื่นชอบการแข่งรถ และ วาเลนติโน่ รอสโซ่ นักแข่งโมโตจีพี ดีกรีแชมป์โลกหลายสมัย สังกัดทีมยามาฮ่า

ทั้งนี้ สำหรับกลยุทธ์สปอร์ตมาร์เก็ตติ้งของยามาฮ่านั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่การสนับสนุนด้านงบประมาณเท่านั้น แต่ที่ผ่านมามีหลายๆ กิจกรรมที่ลงลึกไปมากกว่านั้น เช่น โครงการ "ยามาฮ่า ฟุตบอล คลินิก" ที่เปิดคอร์สสอนให้เยาวชน และลูกค้า และบุคคลทั่วไป

จินตนา เคยบอกไว้ว่า การทำสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งเป็นแผนการระยะยาวที่เรากำหนดไว้ ซึ่งไลฟ์สไตล์ของเยาวชนคนรุ่นใหม่หันมาเล่นกีฬา ยามาฮ่าจะเดินนโยบายในด้านนี้ และการลงไปถึงระดับชุมชนเป็นการทำซีเอสอาร์อย่างหนึ่ง ที่ช่วยให้เด็กๆ ในท้องถิ่นได้มีโอกาสเล่นฟุตบอลในระดับที่พัฒนาขึ้น อนาคตเราวางเป้าหมายทำฟุตบอล คลินิก ทุกจังหวัด

แต่สิ่งหนึ่งผู้บริหารไม่ได้บอก ก็คือ การรับรู้ ความสนใจ และความภักดีต่อสินค้า ก็จะเกิดขึ้นได้จากกิจกรรมเหล่านี้เช่นกัน

เพิ่มเติม http://www.bangkokbiznews.com

"2ล้อฮอนด้า"ฉลุย 5เดือนขาย5แสน "ออโต"มัดอยู่หมัด

"ฮอนด้า" ตอกย้ำความเป็นผู้นำ พร้อมทำตลาดรถ เอ.ที.ขึ้นเป็นที่ 1 กวาดสัดส่วนถึง 56% รถหัวฉีดสุดฟีเวอร์ต้อนรับเปิดเทอมใหม่ ชี้ชัดวัยรุ่นไทยนิยมใช้ โตพรวด 63%

นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ว่า "ช่วงระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมามีปริมาณยอดสะสมทั้งสิ้น 750,607 คัน โตขึ้น 26.84% ส่วนฮอนด้าขายได้ 518,865 คัน คิดเป็น 69.12% ของตลาด"

"สะท้อนตัวเลขเชิงลึกที่ชี้ให้เห็นถึงการเติบโตของกลุ่มรถจักรยานยนต์ประเภท เอ.ที.ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นมาเป็นลำดับ คาดการณ์ว่ารถจักรยานยนต์ประเภท เอ.ที.จะสร้างความคึกคักและความตื่นตัวให้กับตลาดได้ต่อไป ซึ่งฮอนด้าสามารถกวาดแชร์เซ็กเมนต์ดังกล่าวได้สูงถึง 56% หรืออยู่ที่ 43,510 คัน"

ขณะที่ฮอนด้าในฐานะผู้นำตลาดตัวจริงได้นำเอากลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดมาใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการผลักดันตลาดรถประเภท เอ.ที.ตลอดมาด้วยการเปิดเกม

รุกกิจกรรมสานต่อไลฟ์สไตล์ความสนุก และเป็นการต้อนรับมหกรรมเกมกีฬายอด นิยมของมวลมนุษยชาติ การแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 โดยร่วมกับร้านผู้จำหน่ายรถ จักรยานยนต์ฮอนด้าทั่วประเทศจัดแคมเปญ "เกาะติดอังกฤษ สู้ศึกลูกหนังโลก ลุ้นโชคทุกรอบกับฮอนด้าสกู๊ปปี้ ไอ" พร้อมทั้งร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมรณรงค์ "เชียร์กีฬาอย่างสร้างสรรค์ ห่างไกลการพนันและยาเสพติด" แก่สังคมไทย จนได้รับการตอบรับจากผู้ใช้รถจักรยานยนต์ฮอนด้าและประชาชนทั่วไปอย่างล้นหลาม เนื่องจากไม่ว่าจะ "ทายถูกหรือทายพลาด" ก็สามารถลุ้นรับโชคจากแคมเปญนี้ได้โดยไม่มีเงื่อนไข ใด ๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งยังเปิดให้ผู้สนใจมาขอรับคูปองทายผลได้ใหม่แบบไม่อั้น ซึ่งขณะนี้มีประชาชนที่มาขอรับคูปองทายผลลุ้นโชคกับสกู๊ปปี้ ไอ รวมกว่า 1 ล้านใบ

รายงานตัวเลขตลาดรวมรถจักรยานยนต์ทุกประเภทเดือนพฤษภาคม 2553 มียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 149,696 คัน ฮอนด้า 100,266 คัน ส่วนแบ่งตลาด 67%, ยามาฮ่า 40,826 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 27%, ซูซูกิ 5,412 คัน ส่วนแบ่งตลาด 4% ที่เหลือเป็นยี่ห้ออื่น ๆ

เพิ่มเติม http://www.prachachat.net

"2ล้อฮอนด้า"ฉลุย 5เดือนขาย5แสน "ออโต"มัดอยู่หมัด

"ฮอนด้า" ตอกย้ำความเป็นผู้นำ พร้อมทำตลาดรถ เอ.ที.ขึ้นเป็นที่ 1 กวาดสัดส่วนถึง 56% รถหัวฉีดสุดฟีเวอร์ต้อนรับเปิดเทอมใหม่ ชี้ชัดวัยรุ่นไทยนิยมใช้ โตพรวด 63%

นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ว่า "ช่วงระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมามีปริมาณยอดสะสมทั้งสิ้น 750,607 คัน โตขึ้น 26.84% ส่วนฮอนด้าขายได้ 518,865 คัน คิดเป็น 69.12% ของตลาด"

"สะท้อนตัวเลขเชิงลึกที่ชี้ให้เห็นถึงการเติบโตของกลุ่มรถจักรยานยนต์ประเภท เอ.ที.ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นมาเป็นลำดับ คาดการณ์ว่ารถจักรยานยนต์ประเภท เอ.ที.จะสร้างความคึกคักและความตื่นตัวให้กับตลาดได้ต่อไป ซึ่งฮอนด้าสามารถกวาดแชร์เซ็กเมนต์ดังกล่าวได้สูงถึง 56% หรืออยู่ที่ 43,510 คัน"

ขณะที่ฮอนด้าในฐานะผู้นำตลาดตัวจริงได้นำเอากลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดมาใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการผลักดันตลาดรถประเภท เอ.ที.ตลอดมาด้วยการเปิดเกม

รุกกิจกรรมสานต่อไลฟ์สไตล์ความสนุก และเป็นการต้อนรับมหกรรมเกมกีฬายอด นิยมของมวลมนุษยชาติ การแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 โดยร่วมกับร้านผู้จำหน่ายรถ จักรยานยนต์ฮอนด้าทั่วประเทศจัดแคมเปญ "เกาะติดอังกฤษ สู้ศึกลูกหนังโลก ลุ้นโชคทุกรอบกับฮอนด้าสกู๊ปปี้ ไอ" พร้อมทั้งร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมรณรงค์ "เชียร์กีฬาอย่างสร้างสรรค์ ห่างไกลการพนันและยาเสพติด" แก่สังคมไทย จนได้รับการตอบรับจากผู้ใช้รถจักรยานยนต์ฮอนด้าและประชาชนทั่วไปอย่างล้นหลาม เนื่องจากไม่ว่าจะ "ทายถูกหรือทายพลาด" ก็สามารถลุ้นรับโชคจากแคมเปญนี้ได้โดยไม่มีเงื่อนไข ใด ๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งยังเปิดให้ผู้สนใจมาขอรับคูปองทายผลได้ใหม่แบบไม่อั้น ซึ่งขณะนี้มีประชาชนที่มาขอรับคูปองทายผลลุ้นโชคกับสกู๊ปปี้ ไอ รวมกว่า 1 ล้านใบ

รายงานตัวเลขตลาดรวมรถจักรยานยนต์ทุกประเภทเดือนพฤษภาคม 2553 มียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 149,696 คัน ฮอนด้า 100,266 คัน ส่วนแบ่งตลาด 67%, ยามาฮ่า 40,826 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 27%, ซูซูกิ 5,412 คัน ส่วนแบ่งตลาด 4% ที่เหลือเป็นยี่ห้ออื่น ๆ

เพิ่มเติม http://www.prachachat.net

ตลาดรวม “มอ’ไซต์” พ.ค. ยอดขายแตะ 150,000 คัน

ตลาดรวมรถยจักรยานต์ เดือนพ.ค. ยอดขายพุ่ง 10.57 % มียอดจำหน่าย 149,676 คันเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา ฮอนด้าครองตลาดถึง 56%

ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ไทยประจำเดือนพฤษภาคม 2553 ฉลุย มีปริมาณยอดการจำหน่ายทั้งสิ้น 149, 676 คัน เติบโตขึ้น 10.57% หรือ 14,305 คัน เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยรถประเภท เอ.ที. ฮอตฮิตสุดขั้ว ด้วยอัตราเติบโตสูงสุดถึง 52% สูงกว่ารถจักรยานยนต์ประเภทครอบครัวที่มีสัดส่วน 45% ส่งผลให้ฮอนด้าครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้เป็นอันดับ 1 ในทุกเซ็กเม้นท์ที่ฮอนด้ามีการวางจำหน่าย ขณะที่เทรนด์การขับขี่ใหม่ระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีดฟีเว่อร์สุดๆ โกยสัดส่วนตลาดรวมสูงสุด 63% ชี้ชัดในความยอดนิยมของรถจักรยานยนต์ฮอนด้าได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ สะท้อนวัยรุ่นไทยนิยมใช้รถแบบหัวฉีดเพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง ฮอนด้ายังคงเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดตัวจริงด้านกลยุทธ์การตลาด โดยรวมกับดีลเลอร์ทั่วประเทศจัดแคมเปญ “เกาะติดอังกฤษ สู้ศึกลูกหนังโลก ลุ้นโชคทุกรอบกับฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ”สร้างความฮือฮาให้วงการ เนื่องจากมีผู้สนใจขอคูปองทายผลจากร้านผู้จำหน่ายในจำนวนมากกว่า 1 ล้านใบ ทั้งที่ยังไม่หมดกำหนดรับคูปอง ถือว่าบรรลุผลสำเร็จเกินความคาดหมาย ในการใช้กลยุทธ์การตลาดแนวใหม่ รวมทั้งได้ภาพลักษณ์และกระตุ้นยอดขายให้แก่รถหัวฉีด
นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ว่า “ช่วงระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมา มีปริมาณยอดสะสมจดทะเบียนป้ายวงกลมของรถจักรยานยนต์ทั้งสิ้น 750,607 คัน เทียบเท่าอัตราการเติบโตของตลาดสูงถึง 26.84% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 591,755 คัน ซึ่งมีปริมาณการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 158,852 คัน นับเป็นสัญญาณที่ดีของการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยฮอนด้าขานรับสัญญาณการเติบโตของทิศทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่โดยมียอดจดทะเบียนรวมระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมา 518,865 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาดที่ 69.12%”

หากศึกษาในรายละเอียดจะพบว่า ภายใต้สัญญาณการเติบโตตลาดในภาพรวม สะท้อนตัวเลขเชิงลึกที่ชี้ให้เห็นถึงกระแสการเติบโตของกลุ่มรถจักรยานยนต์ประเภท เอ.ที. ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นมาเป็นลำดับ และครองสัดส่วนความนิยมสูงกว่ารถประเภทครอบครัว โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีอัตราครองตลาดสูงถึง 52% เหตุผลหนึ่งของการเติบโตนี้ เพราะเป็นผลจากการที่ทุกค่ายผู้ผลิตต่างแข่งขันและชิงความนิยมกันเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีการใช้กลยุทธ์ในการส่งเสริมการจำหน่าย ผลักดันแคมเปญต่างๆ เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับตัวสินค้ามากขึ้น คาดการณ์ว่ารถจักรยานยนต์ประเภท เอ.ที. จะสร้างความคึกคักและความตื่นตัวให้กับตลาดได้ต่อไป ซึ่งฮอนด้าสามารถกวาดแชร์เซกเมนต์ดังกล่าว ได้สูงถึง 56 % หรืออยู่ที่ 43,510 คัน จากยอดจดทะเบียนประเภทรถ เอ.ที. รวมทั้งหมด 78,161 คัน รองลงมาเป็นยามาฮ่า 43 % และซูซูกิ 1 %

รายงานตัวเลขตลาดรวมรถจักรยานยนต์ทุกประเภทเดือนพฤษภาคม 2553 มียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 149,696 คัน แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์แบบ เอ.ที. 78,161 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 52% โดยขึ้นนำรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวที่มียอดจดทะเบียนอยู่ที่ 67,334 คัน หรือเทียบเท่าสัดส่วนตลาด 45% รถจักรยานยนต์แบบครอบครัวกึ่งสปอร์ตมีจำนวน 1,706 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1% แบบออฟโรด 1,582 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1% แบบสปอร์ตและประเภทอื่นๆ 893 คัน มีสัดส่วนตลาดกว่า 1%

หากแบ่งแยกเป็นยอดจดทะเบียนตามประเภทของผู้ผลิตในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รถจักรยานยนต์ฮอนด้า 100,266 คัน เทียบ เท่าอัตราครองตลาด 67%, ยามาฮ่า 40,826 คัน อัตราครองตลาด 27%, ซูซูกิ 5,412 คัน อัตราครองตลาด 4%, อื่นๆ ได้แก่ คาวาซากิ 1,768 คัน , เจอาร์ดี 48 คัน, แพล็ตตินั่ม 68 คัน, ไทเกอร์ 139 คัน และอื่นๆ 1,149 คัน

เพิ่มเติม http://www.bangkokbiznews.com

ตลาดรวม “มอ’ไซต์” พ.ค. ยอดขายแตะ 150,000 คัน

ตลาดรวมรถยจักรยานต์ เดือนพ.ค. ยอดขายพุ่ง 10.57 % มียอดจำหน่าย 149,676 คันเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา ฮอนด้าครองตลาดถึง 56%

ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ไทยประจำเดือนพฤษภาคม 2553 ฉลุย มีปริมาณยอดการจำหน่ายทั้งสิ้น 149, 676 คัน เติบโตขึ้น 10.57% หรือ 14,305 คัน เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยรถประเภท เอ.ที. ฮอตฮิตสุดขั้ว ด้วยอัตราเติบโตสูงสุดถึง 52% สูงกว่ารถจักรยานยนต์ประเภทครอบครัวที่มีสัดส่วน 45% ส่งผลให้ฮอนด้าครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้เป็นอันดับ 1 ในทุกเซ็กเม้นท์ที่ฮอนด้ามีการวางจำหน่าย ขณะที่เทรนด์การขับขี่ใหม่ระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีดฟีเว่อร์สุดๆ โกยสัดส่วนตลาดรวมสูงสุด 63% ชี้ชัดในความยอดนิยมของรถจักรยานยนต์ฮอนด้าได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ สะท้อนวัยรุ่นไทยนิยมใช้รถแบบหัวฉีดเพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง ฮอนด้ายังคงเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดตัวจริงด้านกลยุทธ์การตลาด โดยรวมกับดีลเลอร์ทั่วประเทศจัดแคมเปญ “เกาะติดอังกฤษ สู้ศึกลูกหนังโลก ลุ้นโชคทุกรอบกับฮอนด้า สกู๊ปปี้ ไอ”สร้างความฮือฮาให้วงการ เนื่องจากมีผู้สนใจขอคูปองทายผลจากร้านผู้จำหน่ายในจำนวนมากกว่า 1 ล้านใบ ทั้งที่ยังไม่หมดกำหนดรับคูปอง ถือว่าบรรลุผลสำเร็จเกินความคาดหมาย ในการใช้กลยุทธ์การตลาดแนวใหม่ รวมทั้งได้ภาพลักษณ์และกระตุ้นยอดขายให้แก่รถหัวฉีด
นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ว่า “ช่วงระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมา มีปริมาณยอดสะสมจดทะเบียนป้ายวงกลมของรถจักรยานยนต์ทั้งสิ้น 750,607 คัน เทียบเท่าอัตราการเติบโตของตลาดสูงถึง 26.84% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 591,755 คัน ซึ่งมีปริมาณการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 158,852 คัน นับเป็นสัญญาณที่ดีของการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยฮอนด้าขานรับสัญญาณการเติบโตของทิศทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่โดยมียอดจดทะเบียนรวมระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมา 518,865 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาดที่ 69.12%”

หากศึกษาในรายละเอียดจะพบว่า ภายใต้สัญญาณการเติบโตตลาดในภาพรวม สะท้อนตัวเลขเชิงลึกที่ชี้ให้เห็นถึงกระแสการเติบโตของกลุ่มรถจักรยานยนต์ประเภท เอ.ที. ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นมาเป็นลำดับ และครองสัดส่วนความนิยมสูงกว่ารถประเภทครอบครัว โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีอัตราครองตลาดสูงถึง 52% เหตุผลหนึ่งของการเติบโตนี้ เพราะเป็นผลจากการที่ทุกค่ายผู้ผลิตต่างแข่งขันและชิงความนิยมกันเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีการใช้กลยุทธ์ในการส่งเสริมการจำหน่าย ผลักดันแคมเปญต่างๆ เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับตัวสินค้ามากขึ้น คาดการณ์ว่ารถจักรยานยนต์ประเภท เอ.ที. จะสร้างความคึกคักและความตื่นตัวให้กับตลาดได้ต่อไป ซึ่งฮอนด้าสามารถกวาดแชร์เซกเมนต์ดังกล่าว ได้สูงถึง 56 % หรืออยู่ที่ 43,510 คัน จากยอดจดทะเบียนประเภทรถ เอ.ที. รวมทั้งหมด 78,161 คัน รองลงมาเป็นยามาฮ่า 43 % และซูซูกิ 1 %

รายงานตัวเลขตลาดรวมรถจักรยานยนต์ทุกประเภทเดือนพฤษภาคม 2553 มียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 149,696 คัน แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์แบบ เอ.ที. 78,161 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 52% โดยขึ้นนำรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวที่มียอดจดทะเบียนอยู่ที่ 67,334 คัน หรือเทียบเท่าสัดส่วนตลาด 45% รถจักรยานยนต์แบบครอบครัวกึ่งสปอร์ตมีจำนวน 1,706 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1% แบบออฟโรด 1,582 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1% แบบสปอร์ตและประเภทอื่นๆ 893 คัน มีสัดส่วนตลาดกว่า 1%

หากแบ่งแยกเป็นยอดจดทะเบียนตามประเภทของผู้ผลิตในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รถจักรยานยนต์ฮอนด้า 100,266 คัน เทียบ เท่าอัตราครองตลาด 67%, ยามาฮ่า 40,826 คัน อัตราครองตลาด 27%, ซูซูกิ 5,412 คัน อัตราครองตลาด 4%, อื่นๆ ได้แก่ คาวาซากิ 1,768 คัน , เจอาร์ดี 48 คัน, แพล็ตตินั่ม 68 คัน, ไทเกอร์ 139 คัน และอื่นๆ 1,149 คัน

เพิ่มเติม http://www.bangkokbiznews.com

Wednesday, June 30, 2010

ขิงแก่คึกดันบิ๊กไบค์เกิด...ค่ายจยย.ยักษ์ขยับลุย

รัฐบาลขิงแก่ได้ที หลังผลักดันอีโคคาร์สำเร็จ เตรียมผลักดันโครงการสนับสนุนไทย เป็นฐานการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือบิ๊กไบค์ ตั้งแต่ขนาดเครื่องยนต์ 500 ซีซีขึ้นไป หลังจากค่ายรถระดับนำของโลกจากอังกฤษ “ไทรอัมพ์” ตัดสินใจนำเม็ดเงินกว่า 3,500 ล้านบาท ลงทุนตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนและประกอบในไทย ที่จังหวัดระยอง

และแน่นอนแผนผลักดันดังกล่าว ย่อมต้องได้รับความสนใจจากค่ายรถยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ที่ปัจจุบันยึดตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กในไทยอยู่ เพราะก่อนหน้านี้ประกาศรุกตลาดบิ๊กไบค์แล้ว โดย “ยามาฮ่า” ลุยแน่นอนปลายปีนี้ พร้อมลงทุนกว่า 15 ล้านบาท เปิดโชว์รูมรองรับโดยเฉพาะ ขณะที่เจ้าตลาด “ฮอนด้า” แม้จะยังสงวนท่าที แต่ก็รับกำลังศึกษาแผนนำผลิตภัณฑ์ประเภทใหม่ๆ รวมถึงบิ๊กไบค์ หรือสกู๊ตเตอร์ขนาดใหญ่มาเสริมตลาดเช่นกัน
หลังจากรัฐบาลขิงแก่ภายใต้การนำของ “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” นายกรัฐมนตรี ได้ผลักดันโครงการรถประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์ คลอดออกมาเป็นรูปเป็นร่าง และก็มีค่ายรถ “ฮอนด้า” เด้งรับลูกประกาศลงทุนไปแล้ว ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 6.2 พันล้านบาท และยังมีอีกหลายค่ายที่สนใจเช่นกัน เพียงแต่ต้องขอศึกษาตามกรอบเวลาที่รัฐบาลเปิดโอกาสให้ จึงยังไม่เปิดตัวออกมาชัดเจนเท่านั้น

โครงการอีโคคาร์จึงทำให้รัฐบาลขิงแก่ยิ้มแป้นทีเดียว และจะว่าไปแล้วถือเป็นผลงานชิ้นแรก ที่รัฐบาลขิงแก่ดำเนินการสำเร็จเป็นรูปธรรมชัดเจนก็ว่าได้ นี่จึงทำให้รัฐบาลขิงแก่ดูเหมือนจะคึกคักสุดขีด และเตรียมผลักดันโครงการใหม่ออกมาเสียบต่ออีโคคาร์ทันที
โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงอุตสาหกรรม “โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์” เปิดเผยภายหลังจากการเดินทางไปเยือนสหราชอาณาจักรและอิตาลี่ ระหว่างวันที่ 25-29 กรกฏคมที่ผ่านมาว่า

จากการพูดคุยกับ นายจอห์น บลัวร์ ประธานบริษัท ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือบิ๊กไบค์ อันดับ 7 ของโลก ภายใต้ชื่อยี่ห้อ “ไทรอัมพ์” ทราบว่าให้ความสนใจลงทุนในไทยเป็นมูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี ในการสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนบิ๊กไบค์ และทำการประกอบ ที่จังหวัดระยอง โดยจะเริ่มผลิตเครื่องยนต์ในปี 2551 เป็นต้นไป

"จากการลงทุนของไทรอัมพ์ดังกล่าว ทำให้รัฐบาลสนใจที่จะขยายฐานการผลิตรถบิ๊กไบค์ เพื่อให้ครบวงจรมากขึ้น จากปัจจุบันไทยเป็นฐานการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กที่สำคัญของโลกแล้ว โดยให้นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ กำหนดแผนส่งเสริมการลงทนผลิตมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 500 ซีซีขึ้นไป ซึ่งทั่วโลกมีความต้องการมากกว่า 100,000 คันต่อปี"

ส่วนการกำหนดรายละเอียดการส่งเสริมการลงทุนคล้ายกับการผลิตรถยนต์อีโคคาร์ เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถบิ๊กไบค์ของโลก และมั่นใจว่านอกเหนือจากไทรอัมพ์แล้ว ยังมีผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ในไทยอีก 2-3 ราย ที่จะให้ความสนใจนโยบายดังกล่าว คาดว่าแผนการส่งเสริมการลงทุนจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้

นั่นคือไอเดียบรรเจิดของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอุตสาหกรรม ซึ่งกลับมามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ภายหลังจากผลักดันโครงการอีโคคาร์แจ้งเกิดสำเร็จ และจะว่าไปแล้วโอกาสผลักดันโครงการบิ๊กไบค์ให้สำเร็จ ดูจะง่ายกว่าอีโคคาร์เสียด้วยซ้ำ

ทั้งนี้ปริมาณตลาดรถบิ๊กไบค์ในไทยเองก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก การที่ไทรอัมพ์มาลงทุนผลิตชิ้นส่วนและประกอบในไทย คงน่าจะมาจากเรื่องของอัตราค่าแรงของไทยไม่สูงมาก ขณะที่ศักยภาพของผู้ผลิตชิ้นส่วนอยู่ในระดับมาตรฐานสากลอยู่แล้ว การมาตั้งโรงงานในไทยจึงมุ่งที่การส่งออกมากกว่า การชิงหักเหลี่ยมโหดของค่ายรถจักรยานยนต์เจ้าเก่าและเจ้าใหม่ จึงไม่น่าจะรุนแรงมากเหมือนกับรถยนต์ ยิ่งเมื่อรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนเป็นกรณีพิเศษคล้ายกับอีโคคาร์ จึงน่าจะทำให้แต่ละค่ายตอบรับด้วยดี

ในส่วนของไทรอัมพ์เป็นบิ๊กไบค์ที่เพิ่งเข้ามารุกตลาดไทยอย่างจริงจัง เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากมีการชิมลางมาได้ระยะหนึ่ง ด้วยการแต่งตั้งบริษัท บริทไบค์ จำกัด ภายใต้การนำของพระเอกร่างบึก “ดอม เหตระกูล” และเพื่อนๆ เป็นผู้แทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในไทย

สำหรับระยะแรกนี้บริทไบค์จะนำเข้าบิ๊กไบค์ไทรอัมพ์มาทำตลาดก่อน โดยในการเปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการ ได้ประกาศจะนำเข้ารถมาทำตลาดในไทยทั้งสิ้น 12 รุ่น ครอบคลุม 3 สไตล์ การขับขี่ของผู้บริโภค ได้แก่ รถแบบโมเดิร์น คลาสสิค ซึ่งขับขี่ง่ายมีรุ่น Bonneville, Bonneville T100, Scramble และ Thruxton อีกแบบรถสปอร์ต เช่นรุ่น Daytona 675, Speed Triple, Sprint ST และ Tiger 1050 และสุดท้ายแบบครุยเซอร์ไลน์ซุปเปอร์เดินทางไกล อาทิ America, Speed Master, Rocket 3 และ Rocket 3 Classic

โดยบิ๊กไบค์ไทรอัมพ์ที่นำเข้ามาจำหน่าย จะมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่คันละ 5 แสนบาท ไปจนถึง 1.2 ล้านบาท โดยบริทไบค์ รับประกัน 2 ปี ไม่จำกัดระยะทาง โดยในส่วนของเครือข่ายนอกจากในกรุงเทพฯ ภายในสิ้นปีนี้เตรียมจะขยายครอบคลุมหัวเมืองใหญ่ เชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยาด้วย

ต่อไปนี้คงต้องจับตาบิ๊กไบค์ยี่ห้อนี้ให้ดี แม้ปัจจุบันชื่อเสียงไทรอัมพ์ในเมืองไทย จะรู้จักกันเพียงเฉพาะกลุ่มเท่านั้น แต่หากรัฐบาลขิงแก่ผลักดันและให้การสนับสนุนบิ๊กไบค์กรณีพิเศษสำเร็จ เชื่อว่าไทรอัมพ์จะประกาศศักดาแบรนด์รถระดับโลกให้ชาวไทยได้รับรู้กันมากกว่านี้แน่ๆ

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าบรรดาค่ายรถยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น จะปล่อยตลาดนี้ให้กับค่ายรถสัญชาติยุโรป อย่างไทรอัมพ์ที่กำลังเดินหน้าทั้งผลิตและขายในไทย หรือบีเอ็มดับเบิลยูที่ทำตลาดในไทยมาได้ระหนึ่งแล้ว เพราะบรรดารถจักรยานยนต์ญี่ปุ่นได้ให้ความสนใจรุกตลาดบิ๊กไบค์อย่างจริงจังเช่นกัน

เริ่มจาก “ยามาฮ่า” ที่ประกาศชัดเจนปีนี้ทำตลาดบิ๊กไบค์แน่นอน โดยในงานมอเตอร์โชว์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้มีการนำบิ๊กไบค์ถึง 6 รุ่นมาเผยโฉมให้ลูกค้าได้ยลโฉม ก่อนเปิดขายอย่างเป็นทางการช่วงปลายปีนี้ ที่สำคัญได้ลงทุนเตรียมเปิดโชว์รูมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท ที่บริเวณด้านหลังศูนย์การค้าเอสพลานาด บนถนนรัชดาภิเษก เพื่อรองรับการทำตลาดบิ๊กไบค์เพียงอย่างเดียว ขณะที่ต่างจังหวัดเล็งขยายไปที่เชียงใหม่ และพัทยา เช่นเดียวกับไทรอัมพ์เพราะมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจำนวนมาก

“บิ๊กไบค์ยามาฮ่าที่จะนำมาจำหน่าย มีตั้งแต่ขนาด 400-1300 ซีซี ราคาเริ่มต้นที่ 2-3 แสนบาทขึ้นไป แม้ตลาดรถจักรยานยนต์ในไทยจะหดตัว แต่บิ๊กไบค์เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบรถประเภทนี้พิเศษ ราคาจึงไม่เป็นอุปสรรค์แต่อย่างใด โดยช่วงแรกยามาฮ่าตั้งเป้าขายเดือนละประมาณ 20 คัน”

จินตนา อุดมทรัพย์ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า บริษัท ไทยยามาฮ่า มอเตอร์ จำกัด กล่าวและว่า โดยรถที่จะนำเข้ามาทำตลาดคาดว่าจะเป็นรุ่น Majesty 400 บิ๊กสกู๊ตเตอร์ขนาด 400 ซีซี รุ่น YZF-R1 บิ๊กไบค์ขนาด 998 ซีซี รุ่น YZF-R6 ซูเปอร์สปอร์ตจากสนามแข่ง 599 ซีซี รุ่น FZ1 Fazer ขนาด 998 ซีซี FZ6 เครื่องยนต์ 600 ซีซี และรุ่น FJR1300A ขนาดเครื่องยนต์ 1298 ซีซี

ส่วนค่ายยักษ์ใหญ่ “ฮอนด้า” แม้จะยังไม่เผยไต๋ชัดเจนนัก ประกอบกับยังไม่ทราบถึงไอเดียผลักดันให้มีการผลิตบิ๊กไบค์ในไทย โดยการสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนเป็นกรณีพิเศษจากรัฐบาลชิงแก่ แต่ก่อนหน้านี้ก็แย้มออกมาถึงความสนใจที่จะขยายผลิตภัณฑ์ประเภทใหม่ๆ สู่ตลาดในไทย ไม่ว่าจะเป็นบิ๊กไบค์ หรือสกู๊ตเตอร์ขนาดใหญ่

“หากมองสภาวะตลาดขณะนี้ บิกไบค์และสกู๊ตเตอร์ขนาดใหญ่ ยังถือเป็นรถเฉพาะกลุ่มอยู่ แต่อนาคตก็ย่อมต้องขยายตัวมากขึ้น ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่ฮอนด้ากำลังศึกษาอยู่ ซึ่งในการเพิ่มไลน์สินค้าของฮอนด้า ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก และแน่นอนก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาตลาดรถประเภทนี้เมื่อไหร่ ฮอนด้าก็พร้อมที่จะทำตลาดเช่นกัน” ชินโกะ คิมาตะ กรรมการบรหารและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัดกล่าว

จากความเคลื่อนไหวของสองค่ายยักษ์ใหญ่รถจักรยานยนต์ในไทย โดยเฉพาะยามาฮ่าที่มีความชัดเจนแน่นอน กับการทำตลาดบิ๊กไบค์ในไทย หรือฮอนด้าที่แม้ะยังตอบแบบสงวนท่าทีอยู่ แต่ก็ยืนยันพร้อมจะทำตลาดเช่นกัน หากตลาดมีความต้องการ

เหตุนี้เมื่อรัฐบาลขิงแก่ประกาศนโยบายชัดเจน ที่จะผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตบิ๊กไบค์ของโลก ด้วยการสนับสนุนส่งเสริมเป็นกรณีพิเศษ เช่นเดียวกับอีโคคาร์ จึงน่าจะทำให้สองค่ายยักษ์ใหญ่ ที่มีโรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ในไทยใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของโลก พร้อมที่จะตอบรับทันทีเช่นกัน

เพิ่มเติม http://www.oknation.net

ขิงแก่คึกดันบิ๊กไบค์เกิด...ค่ายจยย.ยักษ์ขยับลุย

รัฐบาลขิงแก่ได้ที หลังผลักดันอีโคคาร์สำเร็จ เตรียมผลักดันโครงการสนับสนุนไทย เป็นฐานการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือบิ๊กไบค์ ตั้งแต่ขนาดเครื่องยนต์ 500 ซีซีขึ้นไป หลังจากค่ายรถระดับนำของโลกจากอังกฤษ “ไทรอัมพ์” ตัดสินใจนำเม็ดเงินกว่า 3,500 ล้านบาท ลงทุนตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนและประกอบในไทย ที่จังหวัดระยอง

และแน่นอนแผนผลักดันดังกล่าว ย่อมต้องได้รับความสนใจจากค่ายรถยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ที่ปัจจุบันยึดตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กในไทยอยู่ เพราะก่อนหน้านี้ประกาศรุกตลาดบิ๊กไบค์แล้ว โดย “ยามาฮ่า” ลุยแน่นอนปลายปีนี้ พร้อมลงทุนกว่า 15 ล้านบาท เปิดโชว์รูมรองรับโดยเฉพาะ ขณะที่เจ้าตลาด “ฮอนด้า” แม้จะยังสงวนท่าที แต่ก็รับกำลังศึกษาแผนนำผลิตภัณฑ์ประเภทใหม่ๆ รวมถึงบิ๊กไบค์ หรือสกู๊ตเตอร์ขนาดใหญ่มาเสริมตลาดเช่นกัน
หลังจากรัฐบาลขิงแก่ภายใต้การนำของ “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” นายกรัฐมนตรี ได้ผลักดันโครงการรถประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์ คลอดออกมาเป็นรูปเป็นร่าง และก็มีค่ายรถ “ฮอนด้า” เด้งรับลูกประกาศลงทุนไปแล้ว ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 6.2 พันล้านบาท และยังมีอีกหลายค่ายที่สนใจเช่นกัน เพียงแต่ต้องขอศึกษาตามกรอบเวลาที่รัฐบาลเปิดโอกาสให้ จึงยังไม่เปิดตัวออกมาชัดเจนเท่านั้น

โครงการอีโคคาร์จึงทำให้รัฐบาลขิงแก่ยิ้มแป้นทีเดียว และจะว่าไปแล้วถือเป็นผลงานชิ้นแรก ที่รัฐบาลขิงแก่ดำเนินการสำเร็จเป็นรูปธรรมชัดเจนก็ว่าได้ นี่จึงทำให้รัฐบาลขิงแก่ดูเหมือนจะคึกคักสุดขีด และเตรียมผลักดันโครงการใหม่ออกมาเสียบต่ออีโคคาร์ทันที
โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงอุตสาหกรรม “โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์” เปิดเผยภายหลังจากการเดินทางไปเยือนสหราชอาณาจักรและอิตาลี่ ระหว่างวันที่ 25-29 กรกฏคมที่ผ่านมาว่า

จากการพูดคุยกับ นายจอห์น บลัวร์ ประธานบริษัท ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือบิ๊กไบค์ อันดับ 7 ของโลก ภายใต้ชื่อยี่ห้อ “ไทรอัมพ์” ทราบว่าให้ความสนใจลงทุนในไทยเป็นมูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี ในการสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนบิ๊กไบค์ และทำการประกอบ ที่จังหวัดระยอง โดยจะเริ่มผลิตเครื่องยนต์ในปี 2551 เป็นต้นไป

"จากการลงทุนของไทรอัมพ์ดังกล่าว ทำให้รัฐบาลสนใจที่จะขยายฐานการผลิตรถบิ๊กไบค์ เพื่อให้ครบวงจรมากขึ้น จากปัจจุบันไทยเป็นฐานการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กที่สำคัญของโลกแล้ว โดยให้นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ กำหนดแผนส่งเสริมการลงทนผลิตมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 500 ซีซีขึ้นไป ซึ่งทั่วโลกมีความต้องการมากกว่า 100,000 คันต่อปี"

ส่วนการกำหนดรายละเอียดการส่งเสริมการลงทุนคล้ายกับการผลิตรถยนต์อีโคคาร์ เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถบิ๊กไบค์ของโลก และมั่นใจว่านอกเหนือจากไทรอัมพ์แล้ว ยังมีผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ในไทยอีก 2-3 ราย ที่จะให้ความสนใจนโยบายดังกล่าว คาดว่าแผนการส่งเสริมการลงทุนจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้

นั่นคือไอเดียบรรเจิดของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอุตสาหกรรม ซึ่งกลับมามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ภายหลังจากผลักดันโครงการอีโคคาร์แจ้งเกิดสำเร็จ และจะว่าไปแล้วโอกาสผลักดันโครงการบิ๊กไบค์ให้สำเร็จ ดูจะง่ายกว่าอีโคคาร์เสียด้วยซ้ำ

ทั้งนี้ปริมาณตลาดรถบิ๊กไบค์ในไทยเองก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก การที่ไทรอัมพ์มาลงทุนผลิตชิ้นส่วนและประกอบในไทย คงน่าจะมาจากเรื่องของอัตราค่าแรงของไทยไม่สูงมาก ขณะที่ศักยภาพของผู้ผลิตชิ้นส่วนอยู่ในระดับมาตรฐานสากลอยู่แล้ว การมาตั้งโรงงานในไทยจึงมุ่งที่การส่งออกมากกว่า การชิงหักเหลี่ยมโหดของค่ายรถจักรยานยนต์เจ้าเก่าและเจ้าใหม่ จึงไม่น่าจะรุนแรงมากเหมือนกับรถยนต์ ยิ่งเมื่อรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนเป็นกรณีพิเศษคล้ายกับอีโคคาร์ จึงน่าจะทำให้แต่ละค่ายตอบรับด้วยดี

ในส่วนของไทรอัมพ์เป็นบิ๊กไบค์ที่เพิ่งเข้ามารุกตลาดไทยอย่างจริงจัง เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากมีการชิมลางมาได้ระยะหนึ่ง ด้วยการแต่งตั้งบริษัท บริทไบค์ จำกัด ภายใต้การนำของพระเอกร่างบึก “ดอม เหตระกูล” และเพื่อนๆ เป็นผู้แทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในไทย

สำหรับระยะแรกนี้บริทไบค์จะนำเข้าบิ๊กไบค์ไทรอัมพ์มาทำตลาดก่อน โดยในการเปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการ ได้ประกาศจะนำเข้ารถมาทำตลาดในไทยทั้งสิ้น 12 รุ่น ครอบคลุม 3 สไตล์ การขับขี่ของผู้บริโภค ได้แก่ รถแบบโมเดิร์น คลาสสิค ซึ่งขับขี่ง่ายมีรุ่น Bonneville, Bonneville T100, Scramble และ Thruxton อีกแบบรถสปอร์ต เช่นรุ่น Daytona 675, Speed Triple, Sprint ST และ Tiger 1050 และสุดท้ายแบบครุยเซอร์ไลน์ซุปเปอร์เดินทางไกล อาทิ America, Speed Master, Rocket 3 และ Rocket 3 Classic

โดยบิ๊กไบค์ไทรอัมพ์ที่นำเข้ามาจำหน่าย จะมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่คันละ 5 แสนบาท ไปจนถึง 1.2 ล้านบาท โดยบริทไบค์ รับประกัน 2 ปี ไม่จำกัดระยะทาง โดยในส่วนของเครือข่ายนอกจากในกรุงเทพฯ ภายในสิ้นปีนี้เตรียมจะขยายครอบคลุมหัวเมืองใหญ่ เชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยาด้วย

ต่อไปนี้คงต้องจับตาบิ๊กไบค์ยี่ห้อนี้ให้ดี แม้ปัจจุบันชื่อเสียงไทรอัมพ์ในเมืองไทย จะรู้จักกันเพียงเฉพาะกลุ่มเท่านั้น แต่หากรัฐบาลขิงแก่ผลักดันและให้การสนับสนุนบิ๊กไบค์กรณีพิเศษสำเร็จ เชื่อว่าไทรอัมพ์จะประกาศศักดาแบรนด์รถระดับโลกให้ชาวไทยได้รับรู้กันมากกว่านี้แน่ๆ

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าบรรดาค่ายรถยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น จะปล่อยตลาดนี้ให้กับค่ายรถสัญชาติยุโรป อย่างไทรอัมพ์ที่กำลังเดินหน้าทั้งผลิตและขายในไทย หรือบีเอ็มดับเบิลยูที่ทำตลาดในไทยมาได้ระหนึ่งแล้ว เพราะบรรดารถจักรยานยนต์ญี่ปุ่นได้ให้ความสนใจรุกตลาดบิ๊กไบค์อย่างจริงจังเช่นกัน

เริ่มจาก “ยามาฮ่า” ที่ประกาศชัดเจนปีนี้ทำตลาดบิ๊กไบค์แน่นอน โดยในงานมอเตอร์โชว์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้มีการนำบิ๊กไบค์ถึง 6 รุ่นมาเผยโฉมให้ลูกค้าได้ยลโฉม ก่อนเปิดขายอย่างเป็นทางการช่วงปลายปีนี้ ที่สำคัญได้ลงทุนเตรียมเปิดโชว์รูมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท ที่บริเวณด้านหลังศูนย์การค้าเอสพลานาด บนถนนรัชดาภิเษก เพื่อรองรับการทำตลาดบิ๊กไบค์เพียงอย่างเดียว ขณะที่ต่างจังหวัดเล็งขยายไปที่เชียงใหม่ และพัทยา เช่นเดียวกับไทรอัมพ์เพราะมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจำนวนมาก

“บิ๊กไบค์ยามาฮ่าที่จะนำมาจำหน่าย มีตั้งแต่ขนาด 400-1300 ซีซี ราคาเริ่มต้นที่ 2-3 แสนบาทขึ้นไป แม้ตลาดรถจักรยานยนต์ในไทยจะหดตัว แต่บิ๊กไบค์เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบรถประเภทนี้พิเศษ ราคาจึงไม่เป็นอุปสรรค์แต่อย่างใด โดยช่วงแรกยามาฮ่าตั้งเป้าขายเดือนละประมาณ 20 คัน”

จินตนา อุดมทรัพย์ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า บริษัท ไทยยามาฮ่า มอเตอร์ จำกัด กล่าวและว่า โดยรถที่จะนำเข้ามาทำตลาดคาดว่าจะเป็นรุ่น Majesty 400 บิ๊กสกู๊ตเตอร์ขนาด 400 ซีซี รุ่น YZF-R1 บิ๊กไบค์ขนาด 998 ซีซี รุ่น YZF-R6 ซูเปอร์สปอร์ตจากสนามแข่ง 599 ซีซี รุ่น FZ1 Fazer ขนาด 998 ซีซี FZ6 เครื่องยนต์ 600 ซีซี และรุ่น FJR1300A ขนาดเครื่องยนต์ 1298 ซีซี

ส่วนค่ายยักษ์ใหญ่ “ฮอนด้า” แม้จะยังไม่เผยไต๋ชัดเจนนัก ประกอบกับยังไม่ทราบถึงไอเดียผลักดันให้มีการผลิตบิ๊กไบค์ในไทย โดยการสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนเป็นกรณีพิเศษจากรัฐบาลชิงแก่ แต่ก่อนหน้านี้ก็แย้มออกมาถึงความสนใจที่จะขยายผลิตภัณฑ์ประเภทใหม่ๆ สู่ตลาดในไทย ไม่ว่าจะเป็นบิ๊กไบค์ หรือสกู๊ตเตอร์ขนาดใหญ่

“หากมองสภาวะตลาดขณะนี้ บิกไบค์และสกู๊ตเตอร์ขนาดใหญ่ ยังถือเป็นรถเฉพาะกลุ่มอยู่ แต่อนาคตก็ย่อมต้องขยายตัวมากขึ้น ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่ฮอนด้ากำลังศึกษาอยู่ ซึ่งในการเพิ่มไลน์สินค้าของฮอนด้า ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก และแน่นอนก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาตลาดรถประเภทนี้เมื่อไหร่ ฮอนด้าก็พร้อมที่จะทำตลาดเช่นกัน” ชินโกะ คิมาตะ กรรมการบรหารและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัดกล่าว

จากความเคลื่อนไหวของสองค่ายยักษ์ใหญ่รถจักรยานยนต์ในไทย โดยเฉพาะยามาฮ่าที่มีความชัดเจนแน่นอน กับการทำตลาดบิ๊กไบค์ในไทย หรือฮอนด้าที่แม้ะยังตอบแบบสงวนท่าทีอยู่ แต่ก็ยืนยันพร้อมจะทำตลาดเช่นกัน หากตลาดมีความต้องการ

เหตุนี้เมื่อรัฐบาลขิงแก่ประกาศนโยบายชัดเจน ที่จะผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตบิ๊กไบค์ของโลก ด้วยการสนับสนุนส่งเสริมเป็นกรณีพิเศษ เช่นเดียวกับอีโคคาร์ จึงน่าจะทำให้สองค่ายยักษ์ใหญ่ ที่มีโรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ในไทยใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของโลก พร้อมที่จะตอบรับทันทีเช่นกัน

เพิ่มเติม http://www.oknation.net

Monday, June 14, 2010

จักรยานยนต์โตสวนกระแส128%

ตลาดรถจักรยานยนต์เดือนเมษายน ยอดขายพุ่ง128% สวนทางเหตุจลาจลใหญ่ ฮอนด้ายิ้มเครื่องหัวฉีดครองตลาด 57 % คาดเดือน พฤษภาคมโรงเรียนเปิดเทอมดันยอดพุ่งทะยาน จัดแคมเปญ"ดูดีๆหัวฉีดหรือเปล่า"เกทับคู่แข่ง

นายธีรพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารงานขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ไทยเดือนเมษายน ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะคึกคักและมีการจับจ่ายใช้สอยค่อนข้างมากเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลงานสงกรานต์ของไทย แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับการใช้จ่ายซื้อสินค้าอุปโภค, บริโภค รวมทั้งรถจักรยานยนต์ เปิดตัวเลขในเดือนแรกไตรมาสสองที่ 134,516 คัน ลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ยังเติบโตขึ้น 128% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว แต่สิ่งที่น่าจับตามองในช่วงสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มั่นคงดังกล่าว ผู้บริโภครอบคอบต่อการใช้จ่ายและเล็งเห็นความคุ้มค่ามากที่สุด

"สถานการณ์การเมืองส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม แต่รถจักรยานยนต์ระบบหัวฉีด PGM-FI ของฮอนด้าที่สร้างความคุ้มค่าสูงสุดในการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ โดยมียอดจดทะเบียนป้ายวงกลมในเดือนเมษายนจำนวน 80,849 คัน คิดเป็นสัดส่วนตลาดถึง 60 % เมื่อเปรียบเทียบกับระบบคาร์บูเรเตอร์ ส่วนคาดการณ์ยอดขายในเดือนพฤษภาคม ภาพรวมยอดขายน่าจะเติบโตขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงที่โรงเรียนเปิดเทอม ซึ่งทางบริษัทได้ผลักดันให้ผู้จำหน่ายร่วมจัดกิจกรรมและแคมเปญต้อนรับเปิดเทอม พร้อมกับจัดแคมเปญประชาสัมพันธ์ เพื่อเชิญชวนผู้ซื้อว่า "ดูดีๆหัวฉีดหรือเปล่า"

นายธีรพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ฮอนด้าตัดสินใจปรับสายการผลิตทั้งหมดในประเทศไทยเป็นระบบหัวฉีด PGM-FI ซึ่งเป็นการตัดสินใจของผู้นำที่จะนำพาเทคโนโลยีที่ดีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจเลือกจึงเป็นสัญญาณที่ดีในการเติบโตของรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย ในการปรับเปลี่ยนเป็นระบบหัวฉีดทั้งหมดและเพื่อเป็นการผลักดันตลาดโดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ในกลุ่ม เอที หัวฉีดของฮอนด้ายังคงเพิ่มการตอบรับจากผู้ใช้วัยรุ่นได้อย่างต่อเนื่องดูได้จากการครองอันดับ 1 อย่างเหนียวแน่นด้วยสัดส่วนตลาดถึง 57%

สำหรับรายงานตัวเลขรถจักรยานยนต์ในเดือนเมษายน 2553 มียอดจำหน่ายรวมที่ 134,516 คัน แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์แบบ เอที 68,832 คัน เทียบเท่าสัดส่วน 51% ซึ่งขึ้นนำรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวที่มียอดจดทะเบียนที่ 60,577 คันหรือเทียบเท่าสัดส่วนตลาด 45% สำหรับรถจักรยานยนต์ครอบครัวกึ่งสปอร์ตมีจำนวน 2,245 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 2% แบบสปอร์ต 691 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1% และแบบออฟโรดรวมประเภทอื่นๆ 2,171 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาดกว่า 1%

ในขณะที่หากแบ่งแยกเป็นยอดจดทะเบียนตามประเภทของผู้ผลิตในเดือนเมษายนรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า 91,989 คัน เทียบเท่าอัตราครองตลาด 68% ยามาฮ่า 34,868 คัน อัตราครองตลาด 26% ซูซูกิ 4,735 คัน อัตราครองตลาด 4% อื่นๆได้แก่ คาวาซากิ 1,751 คัน เจอาร์ดี 20 คัน , แพล็ตตินั่ม 56 คัน และอื่นๆ 964 คัน

จักรยานยนต์โตสวนกระแส128%

ตลาดรถจักรยานยนต์เดือนเมษายน ยอดขายพุ่ง128% สวนทางเหตุจลาจลใหญ่ ฮอนด้ายิ้มเครื่องหัวฉีดครองตลาด 57 % คาดเดือน พฤษภาคมโรงเรียนเปิดเทอมดันยอดพุ่งทะยาน จัดแคมเปญ"ดูดีๆหัวฉีดหรือเปล่า"เกทับคู่แข่ง

นายธีรพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารงานขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ไทยเดือนเมษายน ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะคึกคักและมีการจับจ่ายใช้สอยค่อนข้างมากเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลงานสงกรานต์ของไทย แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับการใช้จ่ายซื้อสินค้าอุปโภค, บริโภค รวมทั้งรถจักรยานยนต์ เปิดตัวเลขในเดือนแรกไตรมาสสองที่ 134,516 คัน ลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ยังเติบโตขึ้น 128% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว แต่สิ่งที่น่าจับตามองในช่วงสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มั่นคงดังกล่าว ผู้บริโภครอบคอบต่อการใช้จ่ายและเล็งเห็นความคุ้มค่ามากที่สุด

"สถานการณ์การเมืองส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม แต่รถจักรยานยนต์ระบบหัวฉีด PGM-FI ของฮอนด้าที่สร้างความคุ้มค่าสูงสุดในการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ โดยมียอดจดทะเบียนป้ายวงกลมในเดือนเมษายนจำนวน 80,849 คัน คิดเป็นสัดส่วนตลาดถึง 60 % เมื่อเปรียบเทียบกับระบบคาร์บูเรเตอร์ ส่วนคาดการณ์ยอดขายในเดือนพฤษภาคม ภาพรวมยอดขายน่าจะเติบโตขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงที่โรงเรียนเปิดเทอม ซึ่งทางบริษัทได้ผลักดันให้ผู้จำหน่ายร่วมจัดกิจกรรมและแคมเปญต้อนรับเปิดเทอม พร้อมกับจัดแคมเปญประชาสัมพันธ์ เพื่อเชิญชวนผู้ซื้อว่า "ดูดีๆหัวฉีดหรือเปล่า"

นายธีรพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ฮอนด้าตัดสินใจปรับสายการผลิตทั้งหมดในประเทศไทยเป็นระบบหัวฉีด PGM-FI ซึ่งเป็นการตัดสินใจของผู้นำที่จะนำพาเทคโนโลยีที่ดีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจเลือกจึงเป็นสัญญาณที่ดีในการเติบโตของรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย ในการปรับเปลี่ยนเป็นระบบหัวฉีดทั้งหมดและเพื่อเป็นการผลักดันตลาดโดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ในกลุ่ม เอที หัวฉีดของฮอนด้ายังคงเพิ่มการตอบรับจากผู้ใช้วัยรุ่นได้อย่างต่อเนื่องดูได้จากการครองอันดับ 1 อย่างเหนียวแน่นด้วยสัดส่วนตลาดถึง 57%

สำหรับรายงานตัวเลขรถจักรยานยนต์ในเดือนเมษายน 2553 มียอดจำหน่ายรวมที่ 134,516 คัน แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์แบบ เอที 68,832 คัน เทียบเท่าสัดส่วน 51% ซึ่งขึ้นนำรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวที่มียอดจดทะเบียนที่ 60,577 คันหรือเทียบเท่าสัดส่วนตลาด 45% สำหรับรถจักรยานยนต์ครอบครัวกึ่งสปอร์ตมีจำนวน 2,245 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 2% แบบสปอร์ต 691 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1% และแบบออฟโรดรวมประเภทอื่นๆ 2,171 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาดกว่า 1%

ในขณะที่หากแบ่งแยกเป็นยอดจดทะเบียนตามประเภทของผู้ผลิตในเดือนเมษายนรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า 91,989 คัน เทียบเท่าอัตราครองตลาด 68% ยามาฮ่า 34,868 คัน อัตราครองตลาด 26% ซูซูกิ 4,735 คัน อัตราครองตลาด 4% อื่นๆได้แก่ คาวาซากิ 1,751 คัน เจอาร์ดี 20 คัน , แพล็ตตินั่ม 56 คัน และอื่นๆ 964 คัน

"คาร์บูเรเตอร์"ยังโดนใจสิงห์นักบิด "สแมช"เพิ่มกำลังผลิตเท่าตัวลุยเกาะกระแสบอลโลก

ซูซูกิลั่น สแมชขายดีสุด เล็งเพิ่มกำลังผลิตเป็น "หมื่น" คันต่อเดือน ชี้อาศัยข้อได้เปรียบด้านต้นทุน หลังพัฒนาเทคโนโลยีแต่ยังคงใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์ ส่งผลให้รถได้รับความนิยม

นายเลิศศักดิ์ นววิมาน ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและพิจารณาการปรับเพิ่มตัวเลขเป้าหมายการจำหน่ายในปีนี้ว่าจะมากกว่า 100,000 คันอย่างแน่นอน หลังจากช่วงที่ผ่านมาตลาดรถจักรยานยนต์โดยรวมไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองแต่อย่างใด ประกอบกับยอดขายของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาถือว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างดี

โดยเฉพาะซูซูกิ สแมช ที่ขณะนี้บริษัทต้องพิจารณาปรับเพิ่มกำลังการผลิต จากเดิมที่คาดว่าจะขายเฉลี่ยเดือนละ 5,000 คันต่อเดือน เพิ่มเป็น 10,000 คันต่อเดือน ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการเจรจากับฝ่ายผลิต ว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด สำหรับสาเหตุที่ทำให้รถรุ่นนี้ได้รับความนิยมจากตลาดนั้น คาดว่าส่วนหนึ่ง เป็นผลมาจากความได้เปรียบในด้านราคาจำหน่าย

เนื่องจากรถซูซูกิ สแมช นั้นมีต้นทุนการผลิตไม่สูงมากนัก เพราะใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์ซึ่งได้รับการพัฒนาและผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ 6 ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนด ดังนั้นอนาคตหากบริษัทยังมีขีดความสามารถในการพัฒนารถจักรยานยนต์ระบบคาร์บูเรเตอร์ให้ได้มาตรฐานตามข้อกำหนดของรัฐบาล บริษัทก็จะยังคงรถประเภทนี้เอาไว้

"นิว สแมชของเราแม้จะยังเป็นคาร์บูเรตอร์อยู่ เนื่องจากเรามองว่ากับเครื่องยนต์ขนาด 110 ซีซีนี้ ทำให้เรามีความได้เปรียบในแง่ราคา ส่วนอนาคตเราก็ขอยืนยันว่า ถ้าเราพัฒนาเทคโนโลยีได้ตามที่รัฐบาลกำหนดเราก็จะยังคงใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์ต่อไปและไม่มีเหตุผลที่ซูซูกิจะต้องเปลี่ยน หากสามารถพัฒนาให้ผ่านค่ามาตรฐานไอเสียได้" นายเลิศศักดิ์กล่าว

นอกจากนี้บริษัทยังได้ส่งรถจักรยานยนต์ 2 รุ่นใหม่ อย่างซูซูกิ โชกัน รถจักรยานยนต์พรีเมี่ยมรุ่นใหม่ โดยตั้งเป้าขายที่เดือนละ 2,000 คัน และซูซูกิ ฮายาเต้ ใหม่ พร้อมตั้งเป้าไว้ที่เดือนละ 1,000 คัน โดยรถ ทั้ง 2 รุ่นเป็นเครื่องยนต์ระบบหัวฉีดที่ได้รับการพัฒนามาใหม่ ให้เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม และยังสามารถรองรับได้กับน้ำมัน 91 แก๊สโซฮอล์ 95 และอี 20

ส่วนความคืบหน้าหลังจากบริษัทแม่ให้ความสนใจจะย้ายฐานการผลิตเครื่องเอาต์บอร์ด หรือเครื่องยนต์สำหรับเรือแบบ 2 จังหวะมาไว้ที่ประเทศไทยนั้น ขณะนี้การเจรจาทุกอย่างเป็นอันเรียบร้อยและบริษัทแม่ได้ตัดสินใจเลือกใช้ไทยเป็นฐานผลิต และคาดว่าจะสามารถดำเนินการทุกอย่างได้ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าอย่างแน่นอน

ขณะที่ตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่อย่างบิ๊กไบก์นั้น บริษัทยังคงยืนยันนโยบายในการให้บริการหลังการขาย และการมุ่งสร้างภาพลักษณ์เป็นหลัก โดยในช่วงสิ้นปี จะมีการนำเข้ารถรุ่นใหม่เข้ามาทำตลาดอีก 1 รุ่นอย่างแน่นอน

ส่วนตลาดรถจักรยานยนต์โดยรวมในช่วงที่ผ่านมาถือว่าตลาดมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะมีเหตุความไม่สงบทางการเมืองแต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อตลาดรถจักรยานยนต์มากนัก เห็นได้จากเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาตลาดรวมโตถึง 10%

และซูซูกิคาดว่าจะมียอดขายในปีนี้ที่กว่า 100,000 คัน สำหรับตลาดในประเทศ และ 100,000 คัน สำหรับตลาดส่งออก และเครื่องเอาต์บอร์ดอีก 35,000-36,000 เครื่องในปีนี้

"ส่วนกระแสฟุตบอลโลกปีนี้ซูซูกิก็ได้มีการร่วมกับค่ายหนังสือพิมพ์ในการจัดกิจกรรมต้อนรับบอลโลก พร้อมแจกรถซูซูกิอีกร่วม ๆ 50 คัน ซึ่งเราหวังว่ากระแสบอลโลกจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้เราได้รับการตอบรับจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้นด้วย"

ด้านนายธีรพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารงานขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด กล่าวถึงตลาดรถจักรยานยนต์ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มียอดจำหน่ายรวมที่ 134,516 คัน แบ่งเป็นฮอนด้า 91,989 คัน คิดเป็น 68% ยามาฮ่าจำนวน 34,868 คัน คิดเป็น 26% ซูซูกิจำนวน 4,735 คัน คิด เป็น 4% อื่น ๆ ได้แก่ คาวาซากิ 1,751 คัน เจอาร์ดี 20 คัน แพล็ตตินั่ม 56 คัน และ อื่น ๆ 964 คัน

เมื่อแบ่งตามประเภทพบว่ารถจักร ยานยนต์แบบเอ.ที.มีจำนวน 68,832 คัน คิดเป็น 51% ซึ่งขึ้นนำรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวที่มียอดจดทะเบียนที่จำนวน 60,577 คัน คิดเป็น 45%

สำหรับรถจักรยานยนต์ครอบครัวกึ่งสปอร์ตมีจำนวน 2,245 คัน คิดเป็น 2% แบบสปอร์ตจำนวน 691 คัน คิดเป็น 1% และแบบออฟโรดรวมประเภทอื่น ๆ 2,171 คัน คิดเป็น 1%

สำหรับแนวโน้มของตลาดคาดว่ารถจักรยานยนต์ประเภทหัวฉีดจะได้รับความนิยมจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้น สำหรับ "ฮอนด้าในฐานะผู้นำ" จึงได้จัดแคมเปญถึงผู้ใช้ที่ตอบรับกับกระแสฟุตบอลโลกฟีเวอร์ เปิดโอกาสให้แฟนบอลทั่วประเทศได้ลุ้นโชคทุกรอบไปกับทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเป็นครั้งแรกในวงการรถจักรยานยนต์ที่เข้าซื้อลิขสิทธิ์ทีมชาติอังกฤษมาร่วมสร้างสีสันความสนุกในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ในครั้งนี้ โดยใช้ชื่อแคมเปญว่า "เกาะติดอังกฤษ สู้ศึกลูกหนังโลก ลุ้นโชคทุกรอบกับฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ"

"คาร์บูเรเตอร์"ยังโดนใจสิงห์นักบิด "สแมช"เพิ่มกำลังผลิตเท่าตัวลุยเกาะกระแสบอลโลก

ซูซูกิลั่น สแมชขายดีสุด เล็งเพิ่มกำลังผลิตเป็น "หมื่น" คันต่อเดือน ชี้อาศัยข้อได้เปรียบด้านต้นทุน หลังพัฒนาเทคโนโลยีแต่ยังคงใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์ ส่งผลให้รถได้รับความนิยม

นายเลิศศักดิ์ นววิมาน ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและพิจารณาการปรับเพิ่มตัวเลขเป้าหมายการจำหน่ายในปีนี้ว่าจะมากกว่า 100,000 คันอย่างแน่นอน หลังจากช่วงที่ผ่านมาตลาดรถจักรยานยนต์โดยรวมไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองแต่อย่างใด ประกอบกับยอดขายของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาถือว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างดี

โดยเฉพาะซูซูกิ สแมช ที่ขณะนี้บริษัทต้องพิจารณาปรับเพิ่มกำลังการผลิต จากเดิมที่คาดว่าจะขายเฉลี่ยเดือนละ 5,000 คันต่อเดือน เพิ่มเป็น 10,000 คันต่อเดือน ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการเจรจากับฝ่ายผลิต ว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด สำหรับสาเหตุที่ทำให้รถรุ่นนี้ได้รับความนิยมจากตลาดนั้น คาดว่าส่วนหนึ่ง เป็นผลมาจากความได้เปรียบในด้านราคาจำหน่าย

เนื่องจากรถซูซูกิ สแมช นั้นมีต้นทุนการผลิตไม่สูงมากนัก เพราะใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์ซึ่งได้รับการพัฒนาและผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ 6 ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนด ดังนั้นอนาคตหากบริษัทยังมีขีดความสามารถในการพัฒนารถจักรยานยนต์ระบบคาร์บูเรเตอร์ให้ได้มาตรฐานตามข้อกำหนดของรัฐบาล บริษัทก็จะยังคงรถประเภทนี้เอาไว้

"นิว สแมชของเราแม้จะยังเป็นคาร์บูเรตอร์อยู่ เนื่องจากเรามองว่ากับเครื่องยนต์ขนาด 110 ซีซีนี้ ทำให้เรามีความได้เปรียบในแง่ราคา ส่วนอนาคตเราก็ขอยืนยันว่า ถ้าเราพัฒนาเทคโนโลยีได้ตามที่รัฐบาลกำหนดเราก็จะยังคงใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์ต่อไปและไม่มีเหตุผลที่ซูซูกิจะต้องเปลี่ยน หากสามารถพัฒนาให้ผ่านค่ามาตรฐานไอเสียได้" นายเลิศศักดิ์กล่าว

นอกจากนี้บริษัทยังได้ส่งรถจักรยานยนต์ 2 รุ่นใหม่ อย่างซูซูกิ โชกัน รถจักรยานยนต์พรีเมี่ยมรุ่นใหม่ โดยตั้งเป้าขายที่เดือนละ 2,000 คัน และซูซูกิ ฮายาเต้ ใหม่ พร้อมตั้งเป้าไว้ที่เดือนละ 1,000 คัน โดยรถ ทั้ง 2 รุ่นเป็นเครื่องยนต์ระบบหัวฉีดที่ได้รับการพัฒนามาใหม่ ให้เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม และยังสามารถรองรับได้กับน้ำมัน 91 แก๊สโซฮอล์ 95 และอี 20

ส่วนความคืบหน้าหลังจากบริษัทแม่ให้ความสนใจจะย้ายฐานการผลิตเครื่องเอาต์บอร์ด หรือเครื่องยนต์สำหรับเรือแบบ 2 จังหวะมาไว้ที่ประเทศไทยนั้น ขณะนี้การเจรจาทุกอย่างเป็นอันเรียบร้อยและบริษัทแม่ได้ตัดสินใจเลือกใช้ไทยเป็นฐานผลิต และคาดว่าจะสามารถดำเนินการทุกอย่างได้ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าอย่างแน่นอน

ขณะที่ตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่อย่างบิ๊กไบก์นั้น บริษัทยังคงยืนยันนโยบายในการให้บริการหลังการขาย และการมุ่งสร้างภาพลักษณ์เป็นหลัก โดยในช่วงสิ้นปี จะมีการนำเข้ารถรุ่นใหม่เข้ามาทำตลาดอีก 1 รุ่นอย่างแน่นอน

ส่วนตลาดรถจักรยานยนต์โดยรวมในช่วงที่ผ่านมาถือว่าตลาดมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะมีเหตุความไม่สงบทางการเมืองแต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อตลาดรถจักรยานยนต์มากนัก เห็นได้จากเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาตลาดรวมโตถึง 10%

และซูซูกิคาดว่าจะมียอดขายในปีนี้ที่กว่า 100,000 คัน สำหรับตลาดในประเทศ และ 100,000 คัน สำหรับตลาดส่งออก และเครื่องเอาต์บอร์ดอีก 35,000-36,000 เครื่องในปีนี้

"ส่วนกระแสฟุตบอลโลกปีนี้ซูซูกิก็ได้มีการร่วมกับค่ายหนังสือพิมพ์ในการจัดกิจกรรมต้อนรับบอลโลก พร้อมแจกรถซูซูกิอีกร่วม ๆ 50 คัน ซึ่งเราหวังว่ากระแสบอลโลกจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้เราได้รับการตอบรับจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้นด้วย"

ด้านนายธีรพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารงานขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด กล่าวถึงตลาดรถจักรยานยนต์ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มียอดจำหน่ายรวมที่ 134,516 คัน แบ่งเป็นฮอนด้า 91,989 คัน คิดเป็น 68% ยามาฮ่าจำนวน 34,868 คัน คิดเป็น 26% ซูซูกิจำนวน 4,735 คัน คิด เป็น 4% อื่น ๆ ได้แก่ คาวาซากิ 1,751 คัน เจอาร์ดี 20 คัน แพล็ตตินั่ม 56 คัน และ อื่น ๆ 964 คัน

เมื่อแบ่งตามประเภทพบว่ารถจักร ยานยนต์แบบเอ.ที.มีจำนวน 68,832 คัน คิดเป็น 51% ซึ่งขึ้นนำรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวที่มียอดจดทะเบียนที่จำนวน 60,577 คัน คิดเป็น 45%

สำหรับรถจักรยานยนต์ครอบครัวกึ่งสปอร์ตมีจำนวน 2,245 คัน คิดเป็น 2% แบบสปอร์ตจำนวน 691 คัน คิดเป็น 1% และแบบออฟโรดรวมประเภทอื่น ๆ 2,171 คัน คิดเป็น 1%

สำหรับแนวโน้มของตลาดคาดว่ารถจักรยานยนต์ประเภทหัวฉีดจะได้รับความนิยมจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้น สำหรับ "ฮอนด้าในฐานะผู้นำ" จึงได้จัดแคมเปญถึงผู้ใช้ที่ตอบรับกับกระแสฟุตบอลโลกฟีเวอร์ เปิดโอกาสให้แฟนบอลทั่วประเทศได้ลุ้นโชคทุกรอบไปกับทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเป็นครั้งแรกในวงการรถจักรยานยนต์ที่เข้าซื้อลิขสิทธิ์ทีมชาติอังกฤษมาร่วมสร้างสีสันความสนุกในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ในครั้งนี้ โดยใช้ชื่อแคมเปญว่า "เกาะติดอังกฤษ สู้ศึกลูกหนังโลก ลุ้นโชคทุกรอบกับฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ"

Wednesday, March 31, 2010

เอสวายเอ็ม สองล้อไต้หวันลุยไทยเล็งยอดปีแรก2หมื่นคัน

เอสวายเอ็ม สองล้อไต้หวัน ประกาศแผนลุยตลาดไทยส่ง 5 รุ่นใหม่ทำตลาด เล็งยอด 2 หมื่นคันต่อปี

นายธนชาต ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็ม ไบค์ มอเตอร์เซลส์ จำกัด ผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์เอสวายเอ็ม (SYM-Taiwan’s Sangyang Motor) จากไต้หวัน เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวรถจักรยานยนต์ ใหม่ 5 รุ่นได้แก่ BONUS X110 cc Fiddle II 125 cc Orbit 125cc 50 cc RADAR X 125 cc และ Symphony 125 s ซึ่งจักรยานยนต์เอสวายเอ็ม เป็นรถจักรยานยนต์ยี่ห้อใหม่ ที่เน้นเรื่องคุณภาพสูงกว่ารถจักรยานยนต์จากจีน ในราคาจำหน่ายที่ต่ำกว่า

บริษัทมีเป้าหมายการจำหน่าย ในปีแรก 6,000 คันต่อปี จากเครือข่ายดีลเลอร์ 50 แห่ง และในอนาคตคาดว่าจะทำยอดขาย 12,000 คันต่อปี เมื่อมีดีลเลอร์ครบ 100 แห่ง ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายที่จะเป็นอันดับหนึ่งของเซ็กเมนท์ รถอื่นๆ ที่ไม่ใช่รถญี่ปุ่น (Non-Japanese Brand) หรือมียอดขายที่ประมาณ 20,000 คันต่อปี ในอนาคต
นายธนชาต กล่าวต่อไปว่า เอสวายเอ็มเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคนไทยที่ชื่นชอบแฟชั่น ความแปลกใหม่ และมีความต้องการรถจักรยานยนต์คุณภาพ ที่สามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่าในภาวะเศรษฐกิจที่น้ำมันมีราคาแพง สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มลูกค้าที่ใช้รถในชีวิตประจำวัน อาทิเช่น นักศึกษา และวินมอเตอร์ไซค์ ผู้ที่ต้องการรถไว้ใช้เฉพาะในช่วงวันหยุด เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทางในระยะทางใกล้ๆ ที่สำคัญ คือ กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการรถจักรยานยนต์ที่มีคุณภาพมาตรฐาน ในราคาที่ต่ำกว่า


นายธนชาต กล่าวต่อว่า บริษัทจะมุ่งเน้นการสร้างตลาดและการกระจายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่าย การกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายได้มีการทดลองใช้รถ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการจำหน่ายผ่านไปยังกลุ่มเกษตรกร และสหกรณ์ต่างๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสินค้าคุณภาพ ในราคาสมเหตุสมผลอย่างแท้จริงปัจจุบัน บริษัทมีดีลเลอร์จำนวน 50 แห่ง ในอนาคตคาดว่าจะเพิ่มเป็น 100 แห่ง

"กิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นตลาด แนะนำแบรนด์เอสวายเอ็ม ให้เป็นที่รู้จักนั้นจะเริ่มจากการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ เพื่อสร้างการรู้จักรับรู้ในแบรนด์ สู่กลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นทางการ พร้อมจัดแคมเปญ ข้อเสนอพิเศษ อำนวยความสะดวกเรื่องการจัดไฟแนนซ์ เพื่อกระตุ้นการซื้อ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด จะให้ความสำคัญกับสื่อต่างๆ ตลอดจนการเข้าไปจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในสังคมต่างจังหวัดอย่างครอบคลุม" นายธนชาตกล่าว

ทั้งนี้ ความต้องการของตลาดรถจักรยานยนต์เมืองไทย ยังคงเติบโตต่อเนื่องโดย 2 เดือนแรกของปีนี้ มียอดขาย รวม 296,995 คัน เติบโต 133% และคาดว่าในสิ้นปีตลาดรวมจะมียอด 1.68 ล้านคัน

เพิ่มเติม http://www.bangkokbiznews.com/

เอสวายเอ็ม สองล้อไต้หวันลุยไทยเล็งยอดปีแรก2หมื่นคัน

เอสวายเอ็ม สองล้อไต้หวัน ประกาศแผนลุยตลาดไทยส่ง 5 รุ่นใหม่ทำตลาด เล็งยอด 2 หมื่นคันต่อปี

นายธนชาต ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็ม ไบค์ มอเตอร์เซลส์ จำกัด ผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์เอสวายเอ็ม (SYM-Taiwan’s Sangyang Motor) จากไต้หวัน เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวรถจักรยานยนต์ ใหม่ 5 รุ่นได้แก่ BONUS X110 cc Fiddle II 125 cc Orbit 125cc 50 cc RADAR X 125 cc และ Symphony 125 s ซึ่งจักรยานยนต์เอสวายเอ็ม เป็นรถจักรยานยนต์ยี่ห้อใหม่ ที่เน้นเรื่องคุณภาพสูงกว่ารถจักรยานยนต์จากจีน ในราคาจำหน่ายที่ต่ำกว่า

บริษัทมีเป้าหมายการจำหน่าย ในปีแรก 6,000 คันต่อปี จากเครือข่ายดีลเลอร์ 50 แห่ง และในอนาคตคาดว่าจะทำยอดขาย 12,000 คันต่อปี เมื่อมีดีลเลอร์ครบ 100 แห่ง ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายที่จะเป็นอันดับหนึ่งของเซ็กเมนท์ รถอื่นๆ ที่ไม่ใช่รถญี่ปุ่น (Non-Japanese Brand) หรือมียอดขายที่ประมาณ 20,000 คันต่อปี ในอนาคต
นายธนชาต กล่าวต่อไปว่า เอสวายเอ็มเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคนไทยที่ชื่นชอบแฟชั่น ความแปลกใหม่ และมีความต้องการรถจักรยานยนต์คุณภาพ ที่สามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่าในภาวะเศรษฐกิจที่น้ำมันมีราคาแพง สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มลูกค้าที่ใช้รถในชีวิตประจำวัน อาทิเช่น นักศึกษา และวินมอเตอร์ไซค์ ผู้ที่ต้องการรถไว้ใช้เฉพาะในช่วงวันหยุด เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทางในระยะทางใกล้ๆ ที่สำคัญ คือ กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการรถจักรยานยนต์ที่มีคุณภาพมาตรฐาน ในราคาที่ต่ำกว่า


นายธนชาต กล่าวต่อว่า บริษัทจะมุ่งเน้นการสร้างตลาดและการกระจายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่าย การกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายได้มีการทดลองใช้รถ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการจำหน่ายผ่านไปยังกลุ่มเกษตรกร และสหกรณ์ต่างๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสินค้าคุณภาพ ในราคาสมเหตุสมผลอย่างแท้จริงปัจจุบัน บริษัทมีดีลเลอร์จำนวน 50 แห่ง ในอนาคตคาดว่าจะเพิ่มเป็น 100 แห่ง

"กิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นตลาด แนะนำแบรนด์เอสวายเอ็ม ให้เป็นที่รู้จักนั้นจะเริ่มจากการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ เพื่อสร้างการรู้จักรับรู้ในแบรนด์ สู่กลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นทางการ พร้อมจัดแคมเปญ ข้อเสนอพิเศษ อำนวยความสะดวกเรื่องการจัดไฟแนนซ์ เพื่อกระตุ้นการซื้อ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด จะให้ความสำคัญกับสื่อต่างๆ ตลอดจนการเข้าไปจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในสังคมต่างจังหวัดอย่างครอบคลุม" นายธนชาตกล่าว

ทั้งนี้ ความต้องการของตลาดรถจักรยานยนต์เมืองไทย ยังคงเติบโตต่อเนื่องโดย 2 เดือนแรกของปีนี้ มียอดขาย รวม 296,995 คัน เติบโต 133% และคาดว่าในสิ้นปีตลาดรวมจะมียอด 1.68 ล้านคัน

เพิ่มเติม http://www.bangkokbiznews.com/

พาณิชย์ยื่นฟ้องเอ.พี.ฮอนด้าพฤติกรรมค้าไม่เป็นธรรม

รมว.พาณิชย์ เห็นชอบให้อัยการยื่นฟ้อง บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า คดีตัวอย่างข้อหามีพฤติกรรมเข้าข่ายแข่งขันการค้าไม่เป็นธรรมจนกระทบต่อธุรกิจเดียวกัน

ที่ประชุมคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ซึ่งมีนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน เห็นชอบให้กรมการค้าภายในส่งเรื่องให้อัยการยื่นฟ้องบริษัท เอ.พี.ฮอนด้า เป็นคดีตัวอย่างข้อหามีพฤติกรรมเข้าข่ายแข่งขันการค้าไม่เป็นธรรม หลังพิจารณายืดเยื้อมานานกว่า 9 ปี

นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ที่ประชุมฯเห็นชอบให้กรมการค้าภายในส่งอัยการฟ้องร้องบริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด ตามข้อสรุป และข้อเสนอของคณะอนุกรรมการสอบสวนการร้องเรียนฯ เนื่องจากบริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด มีพฤติกรรมเข้าข่ายแข่งขันทางการค้าไม่เป็นธรรม จนกระทบต่อธุรกิจลักษณะเดียวกัน

โดยบริษัทฯ ได้ใช้อำนาจเหนือตลาดห้ามตัวแทนจำหน่าย(เอเย่นต์) ขายรถจักรยานยนต์ของบริษัทคู่แข่ง ซึ่งมีการร้องเรียนมาตั้งแต่ปี 2544 และถือเป็นการทำผิดตามมาตรา 29 พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 ที่มีโทษปรับไม่เกิน 6 ล้านบาท หรือจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

"ถือเป็นกรณีแรกที่มีการฟ้องเอาผิดตามกฎหมายแข่งขันทางการค้า โดยเป็นการสอบสวนไปตามขบวนการที่พิจารณาจากข้อเท็จจริงจากพยาน 23 ปาก และหลักฐานกว่า 2,000 หน้า ประชุมกันถึง 12 ครั้ง ก็พบว่ามีการกระทำที่ไม่ใช่การแข่งขันที่เป็นธรรมจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจรายอื่นที่มีลักษณะแบบเดียวกัน" นายยรรยง กล่าว

สำหรับการประชุมครั้งนี้สามารถพิจารณากรณีบริษัท เอ.พี.ฮอนด้า ได้เพียงเรื่องเดียว ส่วนกรณีอื่นๆ นั้นที่ประชุมฯ จะมีการพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป โดยมีการพิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนอีก 3 เรื่องที่ร้องเรียนเข้ามา คือ การขายเหล้าพ่วงเบียร์, การกีดกันทางการค้าในธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ และขายข้าวถุงต่ำกว่าทุน

พาณิชย์ยื่นฟ้องเอ.พี.ฮอนด้าพฤติกรรมค้าไม่เป็นธรรม

รมว.พาณิชย์ เห็นชอบให้อัยการยื่นฟ้อง บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า คดีตัวอย่างข้อหามีพฤติกรรมเข้าข่ายแข่งขันการค้าไม่เป็นธรรมจนกระทบต่อธุรกิจเดียวกัน

ที่ประชุมคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ซึ่งมีนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน เห็นชอบให้กรมการค้าภายในส่งเรื่องให้อัยการยื่นฟ้องบริษัท เอ.พี.ฮอนด้า เป็นคดีตัวอย่างข้อหามีพฤติกรรมเข้าข่ายแข่งขันการค้าไม่เป็นธรรม หลังพิจารณายืดเยื้อมานานกว่า 9 ปี

นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ที่ประชุมฯเห็นชอบให้กรมการค้าภายในส่งอัยการฟ้องร้องบริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด ตามข้อสรุป และข้อเสนอของคณะอนุกรรมการสอบสวนการร้องเรียนฯ เนื่องจากบริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด มีพฤติกรรมเข้าข่ายแข่งขันทางการค้าไม่เป็นธรรม จนกระทบต่อธุรกิจลักษณะเดียวกัน

โดยบริษัทฯ ได้ใช้อำนาจเหนือตลาดห้ามตัวแทนจำหน่าย(เอเย่นต์) ขายรถจักรยานยนต์ของบริษัทคู่แข่ง ซึ่งมีการร้องเรียนมาตั้งแต่ปี 2544 และถือเป็นการทำผิดตามมาตรา 29 พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 ที่มีโทษปรับไม่เกิน 6 ล้านบาท หรือจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

"ถือเป็นกรณีแรกที่มีการฟ้องเอาผิดตามกฎหมายแข่งขันทางการค้า โดยเป็นการสอบสวนไปตามขบวนการที่พิจารณาจากข้อเท็จจริงจากพยาน 23 ปาก และหลักฐานกว่า 2,000 หน้า ประชุมกันถึง 12 ครั้ง ก็พบว่ามีการกระทำที่ไม่ใช่การแข่งขันที่เป็นธรรมจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจรายอื่นที่มีลักษณะแบบเดียวกัน" นายยรรยง กล่าว

สำหรับการประชุมครั้งนี้สามารถพิจารณากรณีบริษัท เอ.พี.ฮอนด้า ได้เพียงเรื่องเดียว ส่วนกรณีอื่นๆ นั้นที่ประชุมฯ จะมีการพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป โดยมีการพิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนอีก 3 เรื่องที่ร้องเรียนเข้ามา คือ การขายเหล้าพ่วงเบียร์, การกีดกันทางการค้าในธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ และขายข้าวถุงต่ำกว่าทุน

Tuesday, March 23, 2010

มอ'ไซค์2เดือนขายเกือบ3แสนคัน

ยอดขายรถจักรยานยนต์รวมทุกยี่ห้อช่วง 2 เดือนแรกของปี 2553(ม.ค.-ก.พ.) ทำได้เกือบ 3 แสนคัน โต 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปืที่แล้ว ฮอนด้าครองส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 70%

ธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ไทยยังเติบโตต่อเนื่อง โดย 2 เดือนแรกของปีมีอัตราเติบโตขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 33% ที่จำนวนยอดขาย 296,995 คัน โดยมียอดจดทะเบียนเฉพาะเดือนกุมภาพันธ์ 143,683 คัน เติบโต26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยฮอนด้ามียอดจดทะเบียนรวม 2 เดือนที่ 208,976 คัน เทียบเท่าอัตราครองตลาด 70% ซึ่งจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องนี้ จึงมั่นใจว่าตลาดรวมในปีนี้น่าจะเติบโตตามคาด โดยมียอดรวมอยู่ที่ 1.68 ล้านคัน ในจำนวนนี้ฮอนด้าตั้งเป้าจำหน่ายที่ 1.15 ล้านคัน

นอกจากนั้นในเดือนมีนาคมนี้รถจักรยานยนต์ฮอนด้าทุกรุ่นที่ออกจากสายการผลิตโรงงานไทยฮอนด้าจะเป็นระบบหัวฉีด PGM-FI ทั้งหมด โดยในงานมอเตอร์โชว์ที่จะถึงนี้ ฮอนด้าเตรียมพร้อมนำรถจักรยานยนต์หัวฉีดรุ่นใหม่ล่าสุดของโลกมาให้ชม พร้อมประกาศความเป็นผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ด้วยการนำยานยนต์อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนโดยไม่ใช้เชื้อเพลิงมาให้ผู้ใช้ชาวไทยได้ชมอย่างใกล้ชิด มั่นใจเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์ไทย และเป็นผู้นำเทคโนโลยียานยนต์โลก ส่วนแฟนมอไซต์พันธ์แท้ต้องไม่พลาดกับการแนะนำรถยอดนิยมสีใหม่ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ ทั้งคลิก ไอ สกู๊ปปี้ ไอ พีซีเอ็กซ์ และ Wave110i

“สำหรับยอดจดทะเบียนในเดือนกุมภาพันธ์ ฮอนด้ามียอดจดทะเบียน 98,244 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 68% เติบโตขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า 34% โดยในจำนวนนี้ประกอบด้วยรถประเภทครอบครัว 56,903 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 84% ส่วนรถแบบเอ.ทีนำตลาดด้วยจำนวน 37,723 คัน เทียบทัดส่วนตลาด 55%”

ด้านรายงานตัวเลขตลาดรถจักรยานยนต์ทุกประเภทเดือนกุมภาพันธ์ 2553 มียอดจำหน่ายรวมที่ 143,683 คัน แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์แบบเอ.ที 68,999 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 48% ซึ่งขึ้นนำรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวที่มียอดจดทะเบียนที่ 67,443 คัน หรือเทียบเท่าสัดส่วนตลาด 47% สำหรับรถจักรยานยนต์ในแบบครอบครัวกึ่งสปอร์ตมีจำนวน 3,650 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 3% แบบสปอร์ต 1,258 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1% และแบบออฟโรดรวมประเภทอื่นๆ 2,333 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาดกว่า 1%

ในขณะที่หากแบ่งแยกเป็นยอดจดทะเบียนตามประเภทของผู้ผลิตในเดือนกุมภาพันธ์ รถจักรยานยนต์ฮอนด้า 98,244 คัน เทียบเท่าอัตราครองตลาด 68%, ยามาฮ่า 36,370 คัน อัตราครองตลาด 25%, ซูซูกิ 5,161 คัน อัตราครองตลาด 4%, อื่นๆ ได้แก่ คาวาซากิ 2,092 คัน , เจอาร์ดี 19 คัน, แพล็ตตินั่ม 74 คัน, ไทเกอร์ 132 คัน และอื่นๆ 1,591 คัน

เพิ่มเติม http://www.manager.co.th/

มอ'ไซค์2เดือนขายเกือบ3แสนคัน

ยอดขายรถจักรยานยนต์รวมทุกยี่ห้อช่วง 2 เดือนแรกของปี 2553(ม.ค.-ก.พ.) ทำได้เกือบ 3 แสนคัน โต 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปืที่แล้ว ฮอนด้าครองส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 70%

ธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ไทยยังเติบโตต่อเนื่อง โดย 2 เดือนแรกของปีมีอัตราเติบโตขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 33% ที่จำนวนยอดขาย 296,995 คัน โดยมียอดจดทะเบียนเฉพาะเดือนกุมภาพันธ์ 143,683 คัน เติบโต26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยฮอนด้ามียอดจดทะเบียนรวม 2 เดือนที่ 208,976 คัน เทียบเท่าอัตราครองตลาด 70% ซึ่งจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องนี้ จึงมั่นใจว่าตลาดรวมในปีนี้น่าจะเติบโตตามคาด โดยมียอดรวมอยู่ที่ 1.68 ล้านคัน ในจำนวนนี้ฮอนด้าตั้งเป้าจำหน่ายที่ 1.15 ล้านคัน

นอกจากนั้นในเดือนมีนาคมนี้รถจักรยานยนต์ฮอนด้าทุกรุ่นที่ออกจากสายการผลิตโรงงานไทยฮอนด้าจะเป็นระบบหัวฉีด PGM-FI ทั้งหมด โดยในงานมอเตอร์โชว์ที่จะถึงนี้ ฮอนด้าเตรียมพร้อมนำรถจักรยานยนต์หัวฉีดรุ่นใหม่ล่าสุดของโลกมาให้ชม พร้อมประกาศความเป็นผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ด้วยการนำยานยนต์อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนโดยไม่ใช้เชื้อเพลิงมาให้ผู้ใช้ชาวไทยได้ชมอย่างใกล้ชิด มั่นใจเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์ไทย และเป็นผู้นำเทคโนโลยียานยนต์โลก ส่วนแฟนมอไซต์พันธ์แท้ต้องไม่พลาดกับการแนะนำรถยอดนิยมสีใหม่ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ ทั้งคลิก ไอ สกู๊ปปี้ ไอ พีซีเอ็กซ์ และ Wave110i

“สำหรับยอดจดทะเบียนในเดือนกุมภาพันธ์ ฮอนด้ามียอดจดทะเบียน 98,244 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 68% เติบโตขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า 34% โดยในจำนวนนี้ประกอบด้วยรถประเภทครอบครัว 56,903 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 84% ส่วนรถแบบเอ.ทีนำตลาดด้วยจำนวน 37,723 คัน เทียบทัดส่วนตลาด 55%”

ด้านรายงานตัวเลขตลาดรถจักรยานยนต์ทุกประเภทเดือนกุมภาพันธ์ 2553 มียอดจำหน่ายรวมที่ 143,683 คัน แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์แบบเอ.ที 68,999 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 48% ซึ่งขึ้นนำรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวที่มียอดจดทะเบียนที่ 67,443 คัน หรือเทียบเท่าสัดส่วนตลาด 47% สำหรับรถจักรยานยนต์ในแบบครอบครัวกึ่งสปอร์ตมีจำนวน 3,650 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 3% แบบสปอร์ต 1,258 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1% และแบบออฟโรดรวมประเภทอื่นๆ 2,333 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาดกว่า 1%

ในขณะที่หากแบ่งแยกเป็นยอดจดทะเบียนตามประเภทของผู้ผลิตในเดือนกุมภาพันธ์ รถจักรยานยนต์ฮอนด้า 98,244 คัน เทียบเท่าอัตราครองตลาด 68%, ยามาฮ่า 36,370 คัน อัตราครองตลาด 25%, ซูซูกิ 5,161 คัน อัตราครองตลาด 4%, อื่นๆ ได้แก่ คาวาซากิ 2,092 คัน , เจอาร์ดี 19 คัน, แพล็ตตินั่ม 74 คัน, ไทเกอร์ 132 คัน และอื่นๆ 1,591 คัน

เพิ่มเติม http://www.manager.co.th/